ความรู้พื้นฐานของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้
ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยและความปลอดภัยในชีวิตของอาคารและผู้อยู่อาศัยในอาคารนั้น เพราะหากระบบไม่ทำงาน หรือทำงานผิดพลาดระหว่างที่เริ่มไฟไหม้ ไฟก็จะเกิดลุกลามจนยากจะควบคุม ทำลายทรัพย์สิน ธุรกิจ และอาจจะทำให้บุคคลบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ระบบนี้มีหน้าที่หลายอย่าง ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ยังใหม่กับระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้รู้สึกสับสนได้
วัตถุประสงค์ของระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System)
- ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System) มีหน้าที่ ตรวจจับเหตุเพลิงไหม้ และ แจ้งเตือนผู้ใช้และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทันที
- มาตรฐาน NFPA 72 กำหนดข้อกำหนดทางเทคนิค วิธีออกแบบ การติดตั้ง การทดสอบ และการบำรุงรักษา
- เป้าหมายหลักของระบบคือ ลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินโดยให้การตอบสนองต่อเหตุไฟไหม้รวดเร็วและน่าเชื่อถือที่สุด
เหตุผลที่ต้องมีระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้
- ป้องกันชีวิตและให้สัญญาณอพยพเมื่อเกิดเพลิงไหม้
- แจ้งเหตุให้หน่วยดับเพลิงทราบล่วงหน้า
- ลดความเสียหายของทรัพย์สิน
- ป้องกันความเสียหายของอาคารโดยเฉพาะในช่วงไม่มีคนอยู่
- ลดการสูญเสียทางธุรกิจ
- ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายอาคาร
ระบบระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System) จะประกอบด้วยอุปกรณ์หลักๆ เช่น จุดกดสัญญาณ (manual call point), เครื่องตรวจจับควัน/ความร้อน, และ อุปกรณ์แจ้งเตือนเสียง/แสง ซึ่งเชื่อมต่อกับ แผงควบคุม (Fire Alarm Control Panel)
การตรวจจับในระยะแรก
ความสามารถของระบบสัญญาณแจ้งเหตุไฟไหม้ในการระบุอันตรายได้ตั้งแต่เนิ่นๆ นั้นถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด ระบบสามารถตรวจจับอันตราย เช่น ไฟไหม้ ได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ช่วยให้หลีกเลี่ยงความเสียหายที่รุนแรงต่อทรัพย์สินได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก สัญญาณเตือนล่วงหน้านี้ช่วยให้คุณสามารถปกป้องทรัพย์สินและย้ายผู้คนให้ออกไปยังที่ปลอดภัยได้ นอกจากนี้ ระบบสัญญาณแจ้งเหตุไฟไหม้ที่มีการตรวจสอบแบบมอนิเตอร์ยังส่งสัญญาณเตือนไปยังหน่วยดับเพลิงเพื่อให้สามารถควบคุมไฟได้อย่างรวดเร็ว
การตอบสนองที่รวดเร็ว
การตรวจจับในระยะแรกและบริการมอนิเตอร์ช่วยให้การแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ทั้งหมด ทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สิน หน่วยดับเพลิงสามารถถูกติดต่อและส่งไปยังสถานที่ของคุณได้ทันทีที่ระบบตรวจพบไฟไหม้
หลีกเลี่ยงการสูดดมควันไฟ
การสูดดมควันไฟเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดในเหตุไฟไหม้ การสูดดมควันเกิดขึ้นเมื่อคนไม่สามารถตรวจจับไฟไหม้ได้ทันและหนีออกมาไม่ทัน ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีระบบสัญญาณแจ้งเหตุไฟไหม้เชิงพาณิชย์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
สามารถลดค่าใช้จ่าย
ระบบสัญญาณแจ้งเหตุไฟไหม้อาจมีราคาสูงในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่ได้รับ จะเห็นได้ง่ายว่าระบบที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยคุณประหยัดเงินได้ ในกรณีเกิดไฟไหม้ ระบบสัญญาณแจ้งเหตุไฟไหม้ที่ทำงานได้ดี พร้อมมอนิเตอร์ช่วยลดเวลาตอบสนอง และช่วยปกป้องทรัพย์สินสำคัญ
นอกจากนี้ ระบบที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างถูกต้องยังช่วยให้คุณประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยโดยการลดอัตราค่าเบี้ยประกัน
เป้าหมายของการออกแบบระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ที่มีประสิทธิภาพ
- ความง่ายในการบำรุงรักษา: ออกแบบระบบให้ดูแลรักษาง่าย เพื่อให้สามารถตรวจสอบและซ่อมแซมได้รวดเร็ว
- อายุการใช้งานยาวนาน: ออกแบบระบบโดยใช้ส่วนประกอบที่ทนทาน เพื่อให้ระบบมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
- ความสามารถในการขยายระบบ: ออกแบบให้ระบบสามารถขยายหรืออัพเกรดได้ง่ายเมื่อตัวอาคารขยายตัวหรือเทคโนโลยีพัฒนา
- ลดการแจ้งเตือนเท็จ: ใช้เทคโนโลยีตรวจจับขั้นสูงเพื่อลดการแจ้งเตือนผิดพลาดและเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้เป็นระบบแบบบูรณาการที่ประกอบด้วย
การตรวจจับ (Initiation) → การควบคุม (FACU) → การแจ้งเตือน (Notification) → การควบคุมระบบอื่น (Emergency Control) → การส่งสัญญาณออกภายนอก (Off-premises signaling)

อุปกรณ์ทั้งหมดต้องทำงานร่วมกันอย่างแม่นยำเพื่อ ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตามมาตรฐาน NFPA 72
FACU – หน่วยควบคุมระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้

หน่วยควบคุมระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ (Fire Alarm Control Unit – FACU) ทำหน้าที่เป็น “สมอง” ของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ โดยคอยตรวจสอบสัญญาณขาเข้า (input) ทั้งหมด และควบคุมสัญญาณขาออก (output) ทั้งหมด บางครั้งอาจเรียกสิ่งนี้ว่า แผงควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้ หรือ แผงควบคุมไฟ
สถานะต่าง ๆ ที่สามารถพบได้ที่หน่วยควบคุมระบบ ได้แก่
- Alarm (สัญญาณเตือนภัย)
- Supervisory (การเฝ้าระวัง)
- Trouble (ปัญหาหรือข้อขัดข้อง)
สถานะเหล่านี้อาจส่งสัญญาณไปยังสถานีควบคุมหรือสถานีรับแจ้งเหตุได้ด้วย
- Alarm – สัญญาณเตือนภัย
หมายถึงมีภัยคุกคามในทันทีต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือภารกิจ เช่น เครื่องตรวจจับควันส่งสัญญาณว่ามีควันเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ระบบแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในอาคารให้อพยพทันที - Trouble – สัญญาณปัญหาหรือข้อขัดข้อง
หมายถึงมีข้อผิดพลาดหรือปัญหาในระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ เช่น วงจรของอุปกรณ์เริ่มต้นสัญญาณ (initiating device) ขาด ซึ่งจะปรากฏเป็นสัญญาณปัญหาบนแผงควบคุม - Supervisory – สัญญาณเฝ้าระวัง
หมายถึงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบ กระบวนการ หรืออุปกรณ์ที่ FACU เฝ้าระวังอยู่ (ดูหัวข้อการเฝ้าระวัง) เช่น วาล์วของระบบหัวกระจายน้ำ (sprinkler) ถูกปิด จะปรากฏเป็นสัญญาณเฝ้าระวังบนหน่วยควบคุม
การเริ่มต้น (Initiation)
การเริ่มต้นของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ หมายถึง อุปกรณ์และวงจรทั้งหมดที่ส่งสัญญาณไปยังระบบเพื่อรายงานสถานะของพื้นที่ที่ได้รับการป้องกัน หรือการเกิดเพลิงไหม้
อุปกรณ์เริ่มต้นสัญญาณ (Initiation devices) ได้แก่
- เครื่องตรวจจับความร้อน
- เครื่องตรวจจับควัน
- สวิตช์ตรวจจับการไหลของน้ำ (Water Flow Switch)
- อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยมือ (Manual Pull Stations)
- สวิตช์แรงดัน (Pressure Switches)
ตัวอย่างอุปกรณ์ Initiating Devices
- Smoke Detectors
- Ionization type: ใช้สารกัมมันตรังสีตรวจจับอนุภาคควันจากไฟลุกเร็ว
- Photoelectric type: ใช้แสงตรวจจับควันจากไฟลุกช้า
- Beam Detector: ใช้ลำแสงครอบคลุมพื้นที่กว้าง
- Vesda: ใช้ตรวจสอบควันไฟแต่เนิ่นๆ
- Heat Detectors
- Fixed Temperature (แบบใช้โลหะหลอมละลาย)
- Rate-of-Rise (ตรวจจับอัตราการเพิ่มของอุณหภูมิ)
- Analog Addressable (ตรวจจับและส่งค่าความร้อนเป็นตัวเลขต่อเนื่อง)
- CO Detectors: ตรวจจับคาร์บอนมอนอกไซด์
- Manual Call Points / Pull Stations: อุปกรณ์ให้คนกดแจ้งเตือนเอง
- Flow Switch / Pressure Switch: ติดในระบบสปริงเกลอร์ ตรวจจับการไหลของน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงแรงดัน
ขึ้นอยู่กับประเภทของระบบ สัญญาณจากอุปกรณ์เริ่มต้นสามารถก่อให้เกิดสถานะ Alarm หรือ Supervisory ได้
สำหรับระบบแบบทั่วไป (Conventional Systems) สัญญาณจะถูกส่งผ่านวงจรของอุปกรณ์เริ่มต้น (Initiating Device Circuit – IDC)
สำหรับระบบแบบระบุตำแหน่งได้ (Addressable Systems) สัญญาณจะถูกส่งผ่านวงจรสัญญาณหลัก (Signaling Line Circuit – SLC)

การเฝ้าระวัง (Supervision)
ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้สามารถนำมาใช้เพื่อตรวจสอบสภาพของระบบอื่น ๆ กระบวนการ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยจากอัคคีภัยและความปลอดภัยในชีวิตภายในอาคาร รวมถึงสิ่งที่มีความสำคัญต่อภารกิจหลักของอาคารได้
การเฝ้าระวังอาจรวมถึง แต่ไม่จำกัดเฉพาะ
- วาล์วในระบบป้องกันอัคคีภัย
- ระบบป้องกันอัคคีภัยอื่น ๆ เช่น ระบบดับไฟใต้เครื่องดูดควันในครัว
- อุณหภูมิในห้องวาล์วหรือถังเก็บน้ำ
- สภาพการทำงานของปั๊มน้ำดับเพลิง (Fire Pump)
Supervision – การตรวจสอบระบบอื่น
ใช้สำหรับ เฝ้าระวังสภาวะของระบบดับเพลิงหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
ตัวอย่างเช่น:
- ตรวจสอบ วาล์วสปริงเกลอร์ ว่าเปิดอยู่หรือไม่
- ตรวจสอบ อุณหภูมิห้องวาล์ว เพื่อป้องกันการแข็งตัวของน้ำ
- ตรวจสอบ แรงดันในท่อระบบ Dry หรือ Pre-action
- ตรวจสอบ สถานะของ Fire Pump (เปิด/ปิด/ขัดข้อง/ไฟฟ้าขาดเฟส)
- ตรวจสอบ ระดับน้ำในถังเก็บน้ำ
สัญญาณที่เกิดจาก supervision จะไม่แจ้งอพยพ แต่แสดงว่า “ระบบหนึ่งมีปัญหาที่ต้องแก้ไข”
หากระบบเหล่านี้เกิดปัญหา ระบบจะส่งสัญญาณไปยังหน่วยควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้ผ่านวงจรของอุปกรณ์เริ่มต้น (IDC) สำหรับระบบทั่วไป (Conventional) หรือผ่านวงจรสัญญาณหลัก (SLC) สำหรับระบบระบุตำแหน่งได้ (Addressable)
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะปรากฏเป็น สถานะเฝ้าระวัง (Supervisory Condition) บนแผงควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้

พลังงานไฟฟ้า (Power) ที่ใช้กับระบบ
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ต้องมีแหล่งพลังงานที่ เชื่อถือได้ เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน
หากคุณต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแหล่งจ่ายไฟของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ รวมถึงวิธีการคำนวณแบตเตอรี่
แหล่งจ่ายไฟหลัก (Primary Power)
แหล่งพลังงานหลักของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้สามารถมาจาก:
- ระบบไฟฟ้าจากการไฟฟ้า (Electric Utility)
- เครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ (Engine-Driven Generator)
หมายเหตุ: ไม่ใช่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองแบบทั่วไป แต่ต้องเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าภายในอาคารที่เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐาน NFPA 72®, Fire Alarm and Signaling Code®
- ระบบเก็บพลังงาน (Energy Storage System)
- ระบบร่วมผลิตไฟฟ้าและความร้อน (Cogeneration System)
แหล่งพลังงานสำรอง (Secondary Power) ของระบบสามารถจัดหาได้จาก
- แบตเตอรี่ที่มีขนาดเหมาะสม
- แบตเตอรี่ร่วมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง (Standby Generator)
- ระบบเก็บพลังงาน (Energy Storage System)

Power Supply – แหล่งจ่ายไฟ
ระบบต้องมี ไฟหลัก (Primary) และ ไฟสำรอง (Secondary) เพื่อให้ระบบทำงานได้แม้ไฟดับ
แหล่งจ่ายที่ใช้ได้ เช่น
- ไฟฟ้าจากการไฟฟ้า
- เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator)
- ระบบเก็บพลังงานไฟฟ้า (SEPSS/UPS)
- แบตเตอรี่แบบ Lead-acid
การคำนวณขนาดแบตเตอรี่
ต้องสามารถจ่ายไฟ
- 24 ชั่วโมงในโหมดสแตนด์บาย
- 5 นาทีในโหมดเตือน (หรือ 15 นาทีถ้าเป็นระบบเสียงประกาศ EVACS)
มีการเผื่อความปลอดภัยเพิ่มอีก 25%
การแจ้งเตือน (Notification)
ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้สามารถแจ้งเตือนให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารรับรู้ถึงเหตุฉุกเฉิน และในบางกรณี ยังสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินภายในอาคารได้อีกด้วย
การแจ้งเตือนแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
- การแจ้งเตือนด้วยแสง (Visible Notification):
โดยทั่วไปจะใช้ ไฟแฟลช (Strobes) เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน - การแจ้งเตือนด้วยเสียง (Audible Notification)
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- ลำโพง (Speakers): สามารถส่งเสียงสัญญาณได้หลายแบบ รวมถึงเสียงประกาศหรือคำสั่งอพยพ
- แตร (Horns): ส่งเสียงได้เพียงโทนเดียว ไม่มีเสียงพูดหรือคำสั่ง
ระบบควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้ (FACU) จะส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์แจ้งเตือนเหล่านี้ผ่านทาง วงจรอุปกรณ์แจ้งเตือน (Notification Appliance Circuit – NAC)

ฟังก์ชันควบคุมในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Control Functions)
หน่วยควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้ (Fire Alarm Control Unit – FACU) สามารถใช้ในการควบคุมการทำงานของระบบอื่น ๆ ภายในอาคารที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในภาวะฉุกเฉิน เช่น
- การเรียกลิฟต์กลับชั้นปลอดภัย (Elevator Recall)
- การสั่งปิดประตูอัตโนมัติ (Door Closers)
- ระบบควบคุมควัน (Smoke Control Systems)
- และระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
วิธีที่พบบ่อยที่สุดในการควบคุมระบบเหล่านี้ คือการใช้ วงจรควบคุม (Control Circuit) ร่วมกับ รีเลย์ (Relay) เพื่อส่งสัญญาณจากแผงควบคุมไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ

การสื่อสารกับสถานีควบคุม (Communication to Supervising Station)
สถานีควบคุม (Supervising Stations) ทำหน้าที่เฝ้าระวังสถานที่ (เช่น อาคารหรือพื้นที่ที่ติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้) จากระยะไกล โดยประเภทของสถานีควบคุมประกอบด้วย
- Central Station Service (สถานีกลางให้บริการเต็มรูปแบบ)
- Proprietary Supervising Stations (สถานีควบคุมขององค์กรเอง)
- Remote Supervising Stations (สถานีควบคุมระยะไกล)
การสื่อสารระหว่างระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้กับสถานีควบคุมจะใช้ วิธีการสื่อสาร ตามที่ระบุไว้ (ในแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมหรือแผนภาพประกอบ)
โดยขึ้นอยู่กับประเภทของสัญญาณที่ส่งมาจาก หน่วยควบคุมระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ (FACU) ไม่ว่าจะเป็น:
- Alarm (สัญญาณเตือนภัย)
- Supervisory (สัญญาณเฝ้าระวัง)
- Trouble (สัญญาณข้อขัดข้อง)
และประเภทของสถานีควบคุมที่รับสัญญาณนั้น
สถานีควบคุมอาจดำเนินการโดย
- แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน (เช่น หน่วยดับเพลิง)
- ส่งเจ้าหน้าที่วิ่งตรวจสอบ (Runner Service) เพื่อแก้ไขสถานะ Trouble หรือ Supervisory

ลำดับเหตุการณ์เมื่อเกิดสัญญาณเตือน:
- ศูนย์ควบคุมได้รับสัญญาณแจ้งเตือน
- ระบบหน่วงเวลา 2 นาทีเพื่อตรวจสอบด้วยกล้อง
- หากยืนยันว่าเป็นเหตุจริง → ส่งเสียงและภาพเตือนอัตโนมัติ
- หากพบว่าไม่ใช่ → ยกเลิกการเตือน
การประเมินความเสี่ยงไฟไหม้
กฎระเบียบไฟไหม้กำหนดให้เจ้าของสถานที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยจากไฟไหม้ เจ้าของสถานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการดำเนินการประเมินความเสี่ยงไฟไหม้เพื่อหาวิธีลดและขจัดอันตรายจากไฟไหม้ ซึ่งควรมีการบันทึกไว้ถ้ามีพนักงานมากกว่าห้าคน
การประเมินความเสี่ยงไฟไหม้ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบเฉพาะ โดยต้องมีการทบทวนประเมินอย่างสม่ำเสมอ
โดยแนะนำให้ตรวจสอบในกรณีดังต่อไปนี้:
- ทุก 12 เดือนหลังจากการประเมินครั้งแรก
- ทุก 5 ปี ควรทำการประเมินใหม่
- หากการใช้งานของอาคารเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
- หากโครงสร้างของอาคาร เช่น การจัดวางพื้นที่ เปลี่ยนแปลง
- หากมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้ใช้งานในอาคารอย่างมีนัยสำคัญ
มาตรฐานควบคุมระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (NFPA 72 – Fire Alarm System)
NFPA (National Fire Protection Association) อธิบายพื้นฐานและองค์ประกอบสำคัญของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System) รวมถึงหลักการทำงานของแต่ละส่วน
1. ภาพรวมของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System) เป็นส่วนสำคัญของระบบความปลอดภัยในอาคาร มีหน้าที่ ตรวจจับ แจ้งเตือน ควบคุม และส่งสัญญาณต่อไปยังหน่วยเฝ้าระวัง (Supervising Station)
โดยประกอบด้วย 6 ส่วนหลักดังนี้
- Initiation (อุปกรณ์เริ่มสัญญาณ)
- Supervision (การตรวจสอบสภาวะของระบบอื่น)
- Power Supply (แหล่งจ่ายไฟหลักและสำรอง)
- Notification (อุปกรณ์แจ้งเตือนเสียง/แสง)
- Emergency Control Functions (การควบคุมระบบอื่นในภาวะฉุกเฉิน)
- Off-Premises Signaling & Supervising Stations (การส่งสัญญาณออกไปยังศูนย์ควบคุมภายนอก)
2. Fire Alarm Control Unit (FACU) – แผงควบคุมหลักของระบบ
ทำหน้าที่เป็น “สมองของระบบ” โดยรับสัญญาณจากอุปกรณ์ตรวจจับ (Input) และสั่งงานอุปกรณ์แจ้งเตือนหรือควบคุม (Output)
มีสถานะสำคัญ 3 แบบ:
- Alarm: พบเหตุเพลิงไหม้หรือควัน → แจ้งเตือนอพยพ
- Trouble: ระบบขัดข้อง เช่น สายขาดหรืออุปกรณ์ไม่ทำงาน
- Supervisory: สภาวะระบบย่อยไม่ปกติ เช่น วาล์วของระบบสปริงเกลอร์ถูกปิด
ภาค 1: Initiation – ระบบเริ่มต้นสัญญาณ
อุปกรณ์ในส่วนนี้ใช้ ตรวจจับสัญญาณของไฟ ควัน ความร้อน หรือแรงดัน แล้วส่งไปยัง FACU
แบ่งเป็น 2 ระบบหลัก
1. Conventional System (วงจร IDC)
- อุปกรณ์หลายตัวอยู่ในโซนเดียวกัน
- เมื่อเครื่องใดเครื่องหนึ่งทำงาน ทั้งโซนจะกลายเป็น “สัญญาณเตือน”
- ระบุได้เพียง “พื้นที่เกิดเหตุ” แต่ไม่รู้ตำแหน่งเฉพาะ
2. Addressable System (วงจร SLC)
- แต่ละอุปกรณ์มี รหัสเฉพาะ (Address)
- FACU สามารถระบุได้ว่า “เครื่องตรวจจับตัวไหน” ทำงาน
- บางรุ่นเป็น Analog Addressable สามารถส่งค่าจริง เช่น ค่าความร้อนหรือความหนาแน่นของควัน ให้ FACU วิเคราะห์ได้
ระบบ Addressable (ระบุที่อยู่)
เทคนิคการตรวจจับของระบบ addressable นั้นคล้ายกับระบบแบบ conventional (ทั่วไป) ต่างกันตรงที่แผงควบคุมจะรู้ได้ว่าตัวตรวจจับหรือจุดกดแจ้งเหตุใดเป็นตัวที่ทำให้เกิดสัญญาณเตือน
วงจรตรวจจับจะเป็นแบบวงแหวน (loop) และสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 99 ตัวในแต่ละวงแหวน ตัวตรวจจับเป็นแบบ conventional ที่มีที่อยู่ในตัว (address) แม้ว่าจะมีการปรับแต่งเล็กน้อย โดยที่อยู่ของแต่ละตัวตรวจจับจะถูกตั้งด้วยสวิตช์แบบ DIP switch และที่อยู่เหล่านี้จะแสดงบนแผงควบคุมเมื่อมีการทำงานของตัวตรวจจับนั้นๆ
นอกจากนี้ยังสามารถซื้ออุปกรณ์ภาคสนามเพิ่มเติมที่เชื่อมต่อกับวงจรตรวจจับเพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจจับเท่านั้น เช่น สวิตช์น้ำไหลของระบบสปริงเกลอร์ที่จะปิดวงจรเมื่อมีน้ำจากสปริงเกลอร์ไหลผ่าน
ระบบเสียงเตือนประกอบด้วยวงจรเสียงเตือนอย่างน้อยสองวงจร เช่นเดียวกับระบบ conventional เพื่อให้วงจรตรวจจับสามารถแบ่งส่วนได้ จะมีโมดูลแยกวงจร (loop isolation modules) ที่ใช้เพื่อลดผลกระทบหากเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือความเสียหายหนึ่งจุด โดยจะทำให้การสูญเสียระบบเกิดขึ้นเพียงบางส่วนเล็กน้อยเท่านั้น
Analogue Fire Alarm Systems (ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้แบบแอนะล็อก)
- ระบบนี้บางครั้งเรียกว่า ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้อัจฉริยะ (intelligent fire alarm systems)
- มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับโปรโตคอลการสื่อสารที่ใช้
- ตัวตรวจจับส่วนใหญ่ในตลาดเป็นแบบที่ไม่ได้ “ฉลาด” มากนัก เพราะค่าที่ส่งออกมาเป็นเพียงค่าของสภาพแวดล้อมที่ตรวจจับได้
- หน้าที่ของแผงควบคุม (control unit) คือวิเคราะห์ว่าเกิดไฟไหม้, ความผิดพลาด หรือสัญญาณเตือนล่วงหน้า (pre-alarm)
- ตัวตรวจจับแต่ละตัวมีคอมพิวเตอร์ในตัวที่ตรวจสอบสภาพแวดล้อมและส่งข้อมูลมายังแผงควบคุม
- ระบบแอนะล็อกซับซ้อนกว่า conventional และ addressable และเน้นลดสัญญาณเตือนผิดพลาด (false alarms)
- 2000 ครั้งต่อสัปดาห์
- การเฝ้าระวัง 24/7 จะช่วยให้เกิดการแจ้งเตือนฉุกเฉินทันที
ระบบทำงาน 3 ขั้นตอน:
- สัญญาณถูกส่งไปยังศูนย์เฝ้าระวัง
- หากเป็นเวลาทำการ จะมีการแจ้งเตือนเจ้าของสถานที่ตรวจสอบ
- หากนอกเวลาทำการ ศูนย์เฝ้าระวังจะติดต่อดับเพลิงทันที
ข้อดีของระบบเฝ้าระวัง:
- มีทีมงานเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
- พนักงานไม่ต้องตอบสนองกับสัญญาณเตือนที่ไม่จำเป็น
- ลดเวลาหยุดชะงักทางธุรกิจ
- การตอบสนองรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ
ภาค 2: Supervision – การตรวจสอบระบบอื่น
ใช้สำหรับ เฝ้าระวังสภาวะของระบบดับเพลิงหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
ตัวอย่างเช่น
- ตรวจสอบ วาล์วสปริงเกลอร์ ว่าเปิดอยู่หรือไม่
- ตรวจสอบ อุณหภูมิห้องวาล์ว เพื่อป้องกันการแข็งตัวของน้ำ
- ตรวจสอบ แรงดันในท่อระบบ Dry หรือ Pre-action
- ตรวจสอบ สถานะของ Fire Pump (เปิด/ปิด/ขัดข้อง/ไฟฟ้าขาดเฟส)
- ตรวจสอบ ระดับน้ำในถังเก็บน้ำ
สัญญาณที่เกิดจาก supervision จะไม่แจ้งอพยพ แต่แสดงว่า “ระบบหนึ่งมีปัญหาที่ต้องแก้ไข”
ภาค 3: Power Supply – แหล่งจ่ายไฟ
ระบบต้องมี ไฟหลัก (Primary) และ ไฟสำรอง (Secondary) เพื่อให้ระบบทำงานได้แม้ไฟดับ
แหล่งจ่ายที่ใช้ได้ เช่น
- ไฟฟ้าจากการไฟฟ้า
- เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator)
- ระบบเก็บพลังงานไฟฟ้า (SEPSS/UPS)
- แบตเตอรี่แบบ Lead-acid
การคำนวณขนาดแบตเตอรี่
ต้องสามารถจ่ายไฟ
- 24 ชั่วโมงในโหมดสแตนด์บาย
- 5 นาทีในโหมดเตือน (หรือ 15 นาทีถ้าเป็นระบบเสียงประกาศ EVACS)
มีการเผื่อความปลอดภัยเพิ่มอีก 25%
- 5 นาทีในโหมดเตือน (หรือ 15 นาทีถ้าเป็นระบบเสียงประกาศ EVACS)
ภาค 4: Notification – อุปกรณ์แจ้งเตือน
หน้าที่คือ แจ้งเตือนผู้คนในอาคารให้รับรู้และอพยพ
มี 2 รูปแบบหลัก
- เสียง (Audible) – เช่น Horn, Bell, Speaker
- แสง (Visual) – เช่น Strobe light
รูปแบบการสัญญาณเสียง
- Public Mode: แจ้งเตือนทุกคนในอาคาร (เสียง ≥15 dB เหนือเสียงพื้น)
- Private Mode: แจ้งเฉพาะเจ้าหน้าที่ เช่น โรงพยาบาล (≥10 dB เหนือเสียงพื้น)
รูปแบบเสียงตามมาตรฐาน NFPA:
- Temporal 3: สัญญาณอพยพเพลิงไหม้
- Temporal 4: สัญญาณเตือนก๊าซ CO
Low-Frequency Alarm (520 Hz) ใช้ในห้องนอน เพื่อให้ปลุกคนที่หลับได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเสียงทั่วไป
Notification – อุปกรณ์แจ้งเตือน
หน้าที่คือ แจ้งเตือนผู้คนในอาคารให้รับรู้และอพยพ
มี 2 รูปแบบหลัก:
- เสียง (Audible) – เช่น Horn, Bell, Speaker
- แสง (Visual) – เช่น Strobe light
รูปแบบการสัญญาณเสียง
- Public Mode: แจ้งเตือนทุกคนในอาคาร (เสียง ≥15 dB เหนือเสียงพื้น)
- Private Mode: แจ้งเฉพาะเจ้าหน้าที่ เช่น โรงพยาบาล (≥10 dB เหนือเสียงพื้น)
รูปแบบเสียงตามมาตรฐาน NFPA:
- Temporal 3: สัญญาณอพยพเพลิงไหม้
- Temporal 4: สัญญาณเตือนก๊าซ CO
Low-Frequency Alarm (520 Hz) ใช้ในห้องนอน เพื่อให้ปลุกคนที่หลับได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเสียงทั่วไป
ภาค 5: Emergency Control Functions – การควบคุมระบบฉุกเฉิน
FACU สามารถสั่งการระบบอื่นในอาคาร เช่น
- Elevator Recall: เรียกลิฟต์กลับชั้นล่างเมื่อเกิดเพลิงไหม้
- Smoke Control: ควบคุมพัดลมระบายควัน/เปิดช่องอากาศ
- Automatic Door Release: ปลดแม่เหล็กให้ประตูทนไฟปิดอัตโนมัติ
- Shunt Trip: ตัดไฟลิฟต์ก่อนหัวฉีดน้ำทำงาน เพื่อความปลอดภัย
- System Integration: ควบคุมระบบทั้งหมดร่วมกันผ่านตาราง Input/Output Matrix
ภาค 6: Off-Premises Signaling & Supervising Stations
ระบบสามารถส่งสัญญาณออกนอกอาคารเพื่อให้ ศูนย์ควบคุมภายนอก รับทราบและตอบสนองได้ทันที เช่น
- Supervising Station (สถานีเฝ้าระวัง)
- Public Emergency Alarm Reporting System (PEARS)
ประเภทของสถานีเฝ้าระวัง
- Central Station Service: บริษัทภายนอกให้บริการเต็มรูปแบบ (ตรวจสอบ บำรุงรักษา ทดสอบระบบ)
- Proprietary Supervising Station: ผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น โรงพยาบาลหรือมหาวิทยาลัย มีศูนย์ควบคุมของตนเอง
- Remote Supervising Station: ศูนย์ควบคุมที่ดูแลอาคารหลายแห่ง เช่น ศูนย์ของเทศบาลหรือเอกชน
ช่องทางสื่อสารมีทั้งแบบสาย (wired) และไร้สาย เช่น IP, Cellular, Radio System เป็นต้น
3. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
เป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุด ใช้ประเมินอันตรายจากไฟในแต่ละพื้นที่ของอาคาร เช่น โรงแรมต้องมีระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ขณะที่อาคารเล็กอาจใช้เพียงถังดับเพลิงและทางหนีไฟที่ปลอดภัย
4. การปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ก่อนออกแบบควรปรึกษา
- หน่วยงานความปลอดภัย
- บริษัทประกันภัย
- ผู้ใช้อาคาร
- ผู้ติดตั้งระบบ
- วิศวกรด้านไฟ
5. กระบวนการออกแบบระบบ
ระบบต้องให้ การตรวจจับและแจ้งเตือนล่วงหน้า โดยต้องแบ่งพื้นที่เป็น
- Fire compartments: พื้นที่ที่แบ่งด้วยผนังทนไฟ
- Detection zones: พื้นที่ตรวจจับเพื่อระบุจุดเกิดเหตุ
- Alarm zones: พื้นที่แจ้งเตือนเสียง/แสง
6. มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
มาตรฐานอ้างอิง (NFPA References)
- NFPA 72: National Fire Alarm and Signaling Code
- NFPA 4: Integrated Fire Protection and Life Safety Testing
- NFPA 110 & 111: ระบบพลังงานสำรอง
- NFPA 70 – National Electrical Code (NEC)
- NFPA 1221: ระบบสื่อสารเหตุฉุกเฉิน
- รวมถึงมาตรฐาน UL และ FM สำหรับการทดสอบอุปกรณ์
7. ส่วนประกอบหลักของระบบ
- แผงควบคุม (FACP) – ศูนย์กลางของระบบ
- อุปกรณ์ตรวจจับ (Detectors) – ตรวจจับควันหรือความร้อน
- จุดกดสัญญาณ (Manual Call Point / Pull Station)
- อุปกรณ์แจ้งเตือน (Notification Devices) – เสียง ไฟกระพริบ หรือเสียงประกาศ
8. ประเภทของระบบควบคุม
- Conventional System: ระบบแบบแบ่งโซน ใช้สายไฟหลายเส้น ตรวจจับได้เป็นบริเวณแต่ไม่ระบุตำแหน่งที่แน่นอน
- Addressable System: ระบบอัจฉริยะ ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์และระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ได้แม่นยำ ตรวจสอบความผิดปกติได้อัตโนมัติ
9. อุปกรณ์ตรวจจับ (Initiating Devices)
9.1 Smoke Detectors (ตรวจจับควัน)
- Photoelectric: ตรวจจับควันหนา เหมาะกับไฟที่ลุกช้า
- Ionization: ตรวจจับไฟลุกเร็ว ใช้สารกัมมันตรังสีภายใน
- Aspirating (VESDA): ตรวจจับเร็วมาก ใช้ท่อดูดอากาศ เหมาะกับห้องคอมพิวเตอร์หรือห้องเก็บของมีค่า
- Beam Detectors: ใช้ลำแสงครอบคลุมพื้นที่กว้าง เช่น โกดัง
- Flame Detectors: ตรวจจับแสงจากเปลวไฟ เหมาะกับโรงงานน้ำมัน
9.2 Heat Detectors (ตรวจจับความร้อน)
- Fixed Temperature: ทำงานเมื่ออุณหภูมิถึงค่าที่กำหนด
- Rate of Rise: ตรวจจับอัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ
- Rate Compensating & Line Type: ใช้ในพื้นที่กว้าง เช่น โกดัง
10. การติดตั้งเครื่องตรวจจับ
- ควรติดตั้งบนเพดานสูงไม่เกินที่กำหนด (อ้างอิง NFPA 72)
- ระยะห่างระหว่างเครื่องตรวจจับควันประมาณ 7.5 ม. และระหว่างเครื่องตรวจจับความร้อนประมาณ 5.3 ม.
- หลีกเลี่ยงการติดใกล้ช่องลม แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ หรือบริเวณที่มีฝุ่น/ควันอาหาร
11. จุดกดสัญญาณ (Manual Call Points)
- ติดตั้งสูงจากพื้น 42–54 นิ้ว
- ต้องมีในทางหนีไฟทุกชั้น และภายใน 5 ฟุตจากประตูทางออก
- ระยะทางสูงสุดจากจุดใด ๆ ถึงจุดกดไม่เกิน 45 เมตร
12. อุปกรณ์แจ้งเตือน (Notification Devices)
12.1 เสียงเตือน
- เช่น กระดิ่ง, แตร, ไซเรน, ลำโพงเสียงประกาศ
- ความดังต้องไม่ต่ำกว่า 65 dB หรือ 75 dB ที่หัวเตียง (กรณีห้องนอน)
- ระบบเสียงประกาศช่วยลดความตื่นตระหนกและอำนวยการอพยพได้ดีกว่าเสียงเตือนทั่วไป
12.2 ไฟสัญญาณ
- ใช้ไฟกระพริบ (strobe) สำหรับพื้นที่เสียงดังหรือมีผู้พิการทางการได้ยิน
- ต้องเป็นไปตาม ADA (Americans with Disabilities Act)
13. ระบบควบคุมฉุกเฉิน (Emergency Controls)
ระบบสามารถเชื่อมกับ:
- ระบบดับเพลิง (Sprinkler / Gas suppression)
- ระบบควบคุมลิฟต์ (Elevator recall)
- ระบบ HVAC shutdown ป้องกันการกระจายควัน
- ระบบแจ้งเหตุไปยังสถานีภายนอก (Monitoring station)
14. แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply)
- ต้องมีทั้งไฟหลักและไฟสำรอง (Battery / Generator)
- แบตเตอรี่สำรองต้องทำงานได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง และสัญญาณเตือนต่อเนื่อง 5 นาที
15. การเดินสายและการติดตั้ง
- ต้องเป็นไปตาม NFPA 70 (NEC) มาตรา 760
- ใช้สายไฟทนไฟ และติดตั้งตามคู่มือผู้ผลิต
- ห้ามต่อผิดวงจรเพราะอาจทำให้ระบบไม่สามารถตรวจจับหรือแจ้งเตือนได้
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินในอาคาร ทุกขั้นตอนตั้งแต่ การประเมินความเสี่ยง → การออกแบบโซน → การเลือกอุปกรณ์ → การติดตั้งและทดสอบ ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล (NFPA, UL, FM) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุจริง
การออกแบบวงจรและการเดินสาย (Circuit Design and Wiring)
- ระบบ Conventional ใช้การเดินสายแบบ Class B หรือ Class A
- ระบบ Addressable ใช้การเชื่อมต่อแบบ Loop (Data Loop) ที่ส่งสัญญาณไป–กลับ
- สายสัญญาณต้องใช้ชนิด FPL, FPLR, FPLP ตามมาตรฐาน UL Listed
- ต้องแยกสายสัญญาณ Fire Alarm ออกจากสายไฟฟ้าทั่วไปเพื่อป้องกันการรบกวน
การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับ (Detector Layout)
Smoke Detector
- ติดตั้งบนเพดานในตำแหน่งที่ควันสามารถลอยถึงได้
- ระยะห่างระหว่างเครื่องตรวจจับโดยทั่วไปไม่เกิน 9.1 เมตร
- ต้องห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 0.5 เมตร
Heat Detector
- ใช้ในบริเวณที่มีฝุ่นหรือไอน้ำ เช่น ห้องครัว
- ระยะห่างระหว่างจุดตรวจจับไม่เกิน 7.6 เมตร
- ห่างผนังไม่น้อยกว่า 0.5 เมตร เช่นเดียวกับ Smoke Detector
การติดตั้ง Manual Pull Station
- ติดตั้งที่ทางออกทุกจุด
- ความสูงจากพื้น 1.1–1.4 เมตร
- ระยะทางเดินสูงสุดจากจุดใดจุดหนึ่งถึง Pull Station ไม่เกิน 60 เมตร
การออกแบบการแจ้งเตือน (Notification Design)
- ต้องออกแบบให้ทั้งเสียงและแสงครอบคลุมทุกพื้นที่ใช้งาน
- ระดับเสียงต้องได้ไม่น้อยกว่า 75 dB ที่หมอนหนุนศีรษะ สำหรับพื้นที่อยู่อาศัย
- สำหรับพื้นที่พิเศษ เช่น โรงพยาบาล ต้องมี Visual Alarm สำหรับผู้พิการทางการได้ยิน
- สีไฟกระพริบมาตรฐานคือ แดง (Red Strobe)
การคำนวณแรงดันและกระแสไฟ (Voltage Drop Calculation)
- ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ปลายทางได้รับแรงดันเพียงพอ
- แรงดันตก (Voltage Drop) ในสายสัญญาณไม่เกิน 10% ของแรงดันที่จ่ายออกจาก FACP
- ใช้สูตรทั่วไป:
[
V_{drop} = 2 \times L \times I \times R
]
โดยที่
L = ความยาวสาย (m), I = กระแสโหลด (A), R = ค่าความต้านทานของสาย (Ω/m)
การเดินสายและแหล่งจ่ายไฟ
สายไฟบางประเภทออกแบบมาเฉพาะสำหรับระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ สายไฟไม่จำเป็นต้องเป็นสีแดง แต่ควรใช้สีเดียวกันตลอดการติดตั้ง สายไฟควรมีปลอกหุ้มที่มีคุณสมบัติลดควันและก๊าซพิษ (LSF) ปลอกหุ้มสามารถเลือกสีให้เข้ากับพื้นผิวอาคารเพื่อช่วยซ่อนสายไฟได้
ควรใช้โครงสร้างและรายละเอียดของอาคารเพื่อซ่อนเส้นทางสายไฟให้มากที่สุด สายไฟควรเป็นชนิดที่ไม่ทำให้เกิดคราบจากการใช้โลหะเปลือย เช่น สายไฟทองแดงหุ้มฉนวนแบบแร่ (MICC)
สายไฟที่ใช้บ่อย ได้แก่
- สายไฟทองแดงหุ้มฉนวนแบบแร่ (MICV) ซึ่งสามารถโอบรัดรอบโครงสร้างอาคารได้แน่นและง่ายต่อการซ่อน แต่ต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้งและอาจหนักและทำงานยาก
- สายไฟ FP200 Gold ซึ่งเป็นสายไฟทนไฟมาตรฐานตาม BS มีความทนทานและง่ายต่อการติดตั้งและต่อสาย
ไม่ควรติดตั้งสายไฟในท่อ PVC หรือติดตั้งโดยไม่ใช้คลิปจับสาย แต่คลิปและอุปกรณ์ติดตั้งต้องวางอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ทำลายวัสดุประวัติศาสตร์ ควรตกลงเส้นทางเดินสายก่อนเริ่มงาน
แหล่งจ่ายไฟสำหรับแผงควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้และแผงรีพีตเตอร์ควรเป็นแบบไม่มีสวิตช์ตัด พร้อมฟิวส์และไฟแสดงสถานะ ‘แหล่งจ่ายไฟพร้อมทำงาน’ แนะนำให้ติดป้ายระบุหน้าที่ของฟิวส์และระบุว่าไม่ควรถูกตัดการจ่ายไฟ
แผงควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้ควรมีแหล่งจ่ายไฟแยกจากเบรกเกอร์ขนาดเล็ก (MCB) สีแดงและล็อคได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟหลักถูกตัดโดยไม่ตั้งใจ
การป้องกันไฟลาม (Fire stopping)
นอกจากจะต้องตรวจสอบให้พื้นที่ ‘หลังบ้าน’ เช่น ห้องเครื่องและช่องบริการ มีระบบตรวจจับไฟอัตโนมัติแล้ว ยังต้องติดตั้งระบบป้องกันไฟลามระหว่างชั้นและโซนกันไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้ช่องว่างหรือท่อส่งลมทำหน้าที่เหมือนปล่องไฟดึงไฟไปยังพื้นที่อื่น
โซนกันไฟจะแยกด้วยวัสดุกั้นไฟ เช่น:
- ประตูและอุปกรณ์กันไฟ
- ม่านและม่านเลื่อนกันไฟ
- ผนังและพื้นกันไฟ
- ซีลกันไฟในช่องบริการ เช่น ท่อระบายน้ำและสายไฟ
- ตัวกั้นช่องว่างในผนังและเพดาน
- ตัวกรองควันอัตโนมัติในท่อระบายอากาศที่ผ่านผนังกั้นไฟ เพื่อป้องกันการผ่านของควันและก๊าซพิษ
วัสดุที่ใช้สำหรับการป้องกันไฟลาม ได้แก่
- ปูนซีเมนต์
- ปูนปลาสเตอร์ยิปซั่ม
- ส่วนผสมของเวอร์มิคูไลต์และปูนซีเมนต์หรือยิปซั่ม
- มาสติกขยายตัวเมื่อโดนความร้อน
การออกแบบระบบแจ้งเตือนเหตุไฟไหม้เกี่ยวข้องกับขั้นตอนและส่วนประกอบสำคัญหลายประการเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยไฟไหม้ที่ครอบคลุมและเป็นไปตามข้อกำหนด ก้าวแรกคือการประเมินอาคารอย่างละเอียด
ส่วนประกอบสำคัญ เช่น แผงควบคุมระบบแจ้งเตือนเหตุไฟไหม้ ตัวตรวจจับควัน ตัวตรวจจับความร้อน และอุปกรณ์แจ้งเตือน จะถูกเลือกตามความต้องการของอาคาร
หัวข้อในการพิจารณาในการออกแบบระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้
- จุดประสงค์ของระบบ เช่น การปกป้องชีวิต หรือทรัพย์สิน
- เวลาที่หน่วยดับเพลิงจะเข้าถึงสถานที่
- เวลาในการอพยพของผู้อยู่อาศัย
- การดำเนินการอื่น ๆ ในกรณีเกิดไฟไหม้ เช่น การเก็บกู้สิ่งของ
- ผู้อยู่อาศัยในอาคารอื่น ๆ (โดยเฉพาะอาคารที่มีผู้อยู่อาศัยหลายกลุ่ม)
- ความต้องการด้านการบำรุงรักษา เช่น การเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์ไร้สาย
- ความต้องการในการทำงานของระบบ เช่น การหน่วงเวลาการทำงานของสัญญาณเสียง หรือระบบ “ดับเบิ้ลน็อค”
การออกแบบระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้
- การประเมินเบื้องต้นและการวางแผน:
ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจการออกแบบอาคาร ประเภทการใช้งาน และความเสี่ยงจากไฟไหม้ วิศวกรด้านความปลอดภัยไฟไหม้จะร่วมมือกับสถาปนิกและเจ้าของอาคารเพื่อสร้างแผนป้องกันไฟไหม้ที่เหมาะสมตามมาตรฐานและข้อกำหนดท้องถิ่น - การเลือกส่วนประกอบ:
ส่วนประกอบสำคัญของระบบแจ้งเตือนเหตุไฟไหม้ ได้แก่ แผงควบคุม ระบบตรวจจับควัน ระบบตรวจจับความร้อน สวิตช์ตรวจจับการไหลของน้ำ และอุปกรณ์แจ้งเตือนแบบเสียงและแสง ระบบที่สามารถระบุตำแหน่งไฟไหม้ได้ (addressable systems) มักถูกเลือกใช้ในอาคารขนาดใหญ่ - การจัดวางและตำแหน่งติดตั้ง:
การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับ เช่น ตัวตรวจจับควันและความร้อนในตำแหน่งที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตรวจจับไฟได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อุปกรณ์ฉีดน้ำการออกแบบและสวิตช์ตรวจจับน้ำไหลจะถูกบูรณาการเพิ่มความสามารถในการดับเพลิง - การเดินสายและการเชื่อมต่อ:
การเดินสายที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเชื่อมต่อส่วนประกอบทั้งหมดกับแผงควบคุม สายไฟต้องติดตั้งตามแนวทางที่เข้มงวดเพื่อให้สัญญาณเดินทางได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ - การบูรณาการกับระบบอื่น:
ระบบแจ้งเตือนเหตุไฟไหม้มักจะผสานการทำงานกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ ของอาคาร เช่น ระบบเรียกลิฟต์กลับ ระบบไฟฉุกเฉิน และการควบคุม HVAC เพื่อเพิ่มความปลอดภัยโดยรวม - การทดสอบและตรวจสอบ:
หลังการติดตั้ง ระบบจะผ่านการทดสอบและตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าส่วนประกอบทั้งหมดทำงานได้ถูกต้อง การบำรุงรักษาและตรวจสอบเป็นระยะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาสภาพระบบให้อยู่ในสภาพดี - การปฏิบัติตามข้อกำหนดและเอกสาร:
การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยไฟไหม้ในพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบระบบแจ้งเตือน การจัดทำเอกสารที่ถูกต้องและการปฏิบัติตามมาตรฐานจะช่วยหลีกเลี่ยงบทลงโทษและทำให้มั่นใจในความปลอดภัยของผู้พักอาศัย
ขอบเขตงานการออกแบบระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ ที่ควรระบุ
- ประเภทของระบบ เช่น ระบบเดินสาย ระบบไร้สาย ระบบแมนนวล ระบบป้องกันทรัพย์สิน หรือระบบป้องกันชีวิต
- ประเภทของอุปกรณ์ตรวจจับที่จะใช้และตำแหน่งติดตั้ง
- อุปกรณ์หรือบริการเพิ่มเติมที่เชื่อมต่อกับระบบ
- ระบบไฟฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องเพื่อเน้นเส้นทางหนีภัย ตามที่ตกลงกับหน่วยดับเพลิง
- แผนการตอบสนองฉุกเฉินและที่เก็บแผนดังกล่าว
- ตารางการบำรุงรักษาและทดสอบที่จำเป็น
- ความต้องการอื่น ๆ จากผู้ให้บริการเฝ้าระวังและศูนย์รับแจ้งเหตุ
การทดสอบและตรวจสอบระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ก่อนนำเข้าใช้งาน (Testing and Commissioning)
- ต้องทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ทุกตัวก่อนใช้งานจริง
- การทดสอบรวมถึง:
- การทำงานของอุปกรณ์แจ้งเหตุและแจ้งเตือน
- ระบบสื่อสารกับศูนย์ควบคุม
- การสลับจากไฟหลักเป็นไฟสำรอง
- ต้องจัดทำ เอกสารรายงานผลทดสอบ (Test Report) ตาม NFPA 72 ภาค 14
การบำรุงรักษาและทดสอบระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ (Maintenance & Testing)
ช่วงเวลาระหว่างการตรวจสอบโดยบริษัทระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้อาจแตกต่างกันตามระดับความเสี่ยง แต่อย่างน้อยควรตรวจสอบทุก 6-12 เดือน และต้องดำเนินการโดยผู้รับเหมาที่ผ่านการอบรมเท่านั้น
- ต้องตรวจสอบและทดสอบระบบ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- อุปกรณ์ที่มีฝุ่นหรือคราบสกปรกต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
- ทดสอบการสลับแหล่งจ่ายไฟ (หลัก → สำรอง)
- ระบบสำรองไฟฟ้าควรตรวจสอบแรงดันและอายุแบตเตอรี่เป็นประจำ
- บันทึกผลการตรวจสอบเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี
การทดสอบรายสัปดาห์ประกอบด้วย
- การทดสอบหมุนเวียนการแตกของกระจกฉุกเฉินแต่ละจุดและตรวจสอบว่าแผงควบคุมบันทึกโซนไฟถูกต้อง
- บันทึกผลการทดสอบและดำเนินการในสมุดบันทึกพร้อมวันที่และเวลา และเก็บสมุดบันทึกในกล่องกันไฟหรือภาชนะที่เหมาะสม
- รายงานปัญหาใดๆ แก่ผู้รับเหมาบำรุงรักษาทันที
ควรทำการทดสอบนี้ในเวลาทำงานปกติเพื่อให้พนักงานคุ้นเคยกับเสียงเตือนและเพื่อให้แน่ใจว่าแผงควบคุมและเสียงเตือนทำงานถูกต้อง แต่ไม่ควรรวมการทดสอบนี้กับการซ้อมดับเพลิง
ขอบเขตของการตรวจสอบระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้
- การแสดงผลของแผงควบคุมสัญญาณเตือน
- การทดสอบหัวตรวจจับความร้อนและควันว่าเชื่อมต่อและตรวจจับได้จริง
- การทำความสะอาดเลนส์ของหัวตรวจจับแบบลำแสง
- การตรวจสอบระดับสัญญาณของแต่ละหัวตรวจจับและดำเนินการตามที่เหมาะสม
- ตรวจสอบการยึดสายไฟ
- ตรวจสอบความแรงของสัญญาณระบบไร้สาย
- ตรวจสอบและเปลี่ยนแบตเตอรี่ระบบไร้สายตามต้องการ
- ตรวจสอบแหล่งจ่ายไฟสำรอง
- การตรวจสอบอื่นๆ ตามคำแนะนำของผู้ผลิต
หากพบข้อบกพร่องต้องรายงานแก่เจ้าของหรือผู้ดูแลอาคาร ต้องบันทึกผลการตรวจสอบในสมุดบันทึกระบบและออกใบรับรองการบริการ


