Fire prevention system inspection testing and maintenance

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

ระบบดับเพลิงถือเป็นระบบและอุปกรณ์ที่สำคัญยิ่ง (Critical system หรือ Critical Equipment) ของโรงงาน อาคารพาณิชย์ กุดัง ถังเก็บผลิตภัณฑ์ หรือบ้านอาศัย เพราะหากเกิดประกายเพลิง จนเพลิงลุกไหม้ แล้วไม่มีการแจ้งเตือนหรือเครื่องมือระงับแต่เนิ่นๆ เพลิงก็อาจจะขยายรุนแรงใหญ่โต จนยากระงับใว้ได้ ความสูญเสียของทรัพย์สิน ธุรกิจ และบุคคลก็จะตามมาอย่างมหาศาล


    การตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ความปลอดภัยจากอัคคีภัยต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทำงานได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสัญญาณเตือนไฟไหม้ ระบบสปริงเกลอร์ ถังดับเพลิง และองค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อระบุปัญหาหรือความเสียหายที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบ หากระบบส่วนไดส่วนหนึ่งไม่ทำงาน หรือทำงานไม่ถูกต้อง จะส่งผลให้ระบบอื่นมีปัญหาด้วย การดับเพลิงก็จะมีปัญหา  

     การบำรุงรักษายังรวมถึงการแก้ไขปัญหาที่พบ เช่น การซ่อมแซม การเปลี่ยนอุปกรณ์ หรือการอัปเดตระบบ แบบ การขยายต่อเติม ซอฟแวร์ เป็นต้น   

ระบบป้องกันอัคคีที่ต้องมีการตรวจสอบ ได้แก่

  • การตรวจสอบระบบหัวฉีดน้ำดับเพลิง (Fire Sprinkler Inspections)
  • การตรวจสอบและทดสอบสัญญาณเตือนไฟไหม้
  • การตรวจสอบถังดับเพลิง
  • การตรวจสอบระบบดับเพลิงในครัว (เช่น ระบบในเครื่องดูดควัน)
  • การตรวจสอบระบบดับเพลิงที่ไม่ใช้น้ำ
  • การตรวจสอบและทดสอบวาล์วกันน้ำย้อนกลับ (Backflow Preventers)    
การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

ความน่าเชื่อถือ (Reliability) ของระบบและอุปกรณ์  

ความน่าเชื่อถือ (Reliability) ของระบบป้องกันเพลิง และอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบจะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง จะต้องให้ความมั่นใจได้ว่าระบบมีความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุไฟไหม้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ไม่มีการขัดข้อง จะมีแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ เฉพาะเมื่อมีสิ่งกระตุ้นเมื่อเกิดเพลิงใหม้ขึ้นจริงๆ กล่าวง่าย ๆ ก็คือมีการแจ้งเตือนที่รวดเร็วและแม่นยำ และช่วยขจัดและหลีกเลี่ยง “การแจ้งเตือนที่ไม่ต้องการ”

    ตามกฎของเมอร์ฟี (Murphy’s Law) ที่ว่า “อะไรก็ตามที่สามารถผิดพลาดได้ มันจะผิดพลาด” เราสามารถสรุปได้ว่า ทุกระบบจะต้องประสบกับความล้มเหลวของส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งในช่วงอายุการใช้งาน

    ความน่าเชื่อถือของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ เช่นเดียวกับระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ สามารถคำนวณได้ด้วยวิธีที่พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Robert Lusser ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งค้นพบว่า ความน่าเชื่อถือของระบบทั้งหมดเท่ากับผลคูณของความน่าเชื่อถือของแต่ละชิ้นส่วนย่อย

    งานวิจัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของระบบต่าง ๆ พบว่า สำหรับระบบทางกายภาพส่วนใหญ่ เมื่อพล็อตอัตราความล้มเหลวกับเวลา จะได้กราฟในลักษณะที่เรียกว่า “รูปอ่างอาบน้ำ” (Bathtub Curve) โดยกราฟนี้เริ่มจากช่วงที่มีอัตราความล้มเหลวสูงในระยะเริ่มต้น จากนั้นจะราบเรียบในช่วงกลางของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ และเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายอายุการใช้งาน

    ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ที่ไม่มีโปรแกรมการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างครบถ้วน ก็ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ที่มีเพียงสามล้อ แปลว่า หากไม่มีการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาตามมาตรฐานหรือกฎหมาย ระบบก็ไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถให้ความปลอดภัยได้อย่างแท้จริง เปรียบได้กับรถยนต์ที่วิ่งไม่ได้หากขาดล้อไปหนึ่งล้อ

     การออกแบบและการก่อสร้างระบบ จะต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือได้เป็นเป้าหมายหลัก

    แรงผลักดันทีอยู่เบื้องหลังของทุกโปรแกรมการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาต่างๆ คือ ความจำเป็นในการทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ความน่าเชื่อถือของระบบเกิดจากองค์ประกอบหลัก 4 ประการ ได้แก่

  • การออกแบบระบบ
  • การติดตั้ง
  • อุปกรณ์ที่ใช้
  • โปรแกรมการบำรุงรักษา

    การตรวจสอบและทดสอบระบบในระยะเริ่มต้นควรช่วยระบุปัญหาที่อาจเกิดจากการออกแบบไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถแก้ไขได้ก่อนที่ระบบจะถูกนำมาใช้งานจริง

    ตัวอย่างเช่น: การติดตั้งเครื่องตรวจจับควันในบริเวณที่มักจะมีละอองลอย (aerosols) อยู่เป็นประจำ เช่น พื้นที่ทำอาหาร ถือเป็นการออกแบบที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้เกิดการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดได้ การตรวจสอบและทดสอบเบื้องต้นควรสามารถตรวจพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ การติดตั้งระบบ ได้ด้วย เช่น

  • การเดินสายไฟ
  • ขั้วสกรูที่หลวม
  • การเลือกใช้ท่อร้อยสาย (Raceways) ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือสภาพอากาศ

อุปกรณ์ของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ทั้งระบบจะต้องความน่าเชื่อถือสูง การผลิตต้องทำภายใต้โปรแกรมกระบวนการผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด และต้องผ่านการตรวจสอบโดยห้องปฏิบัติการทดสอบอิสระ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ เช่น องค์การUnderwriters Laboratories (UL)

    โปรแกรมการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของการออกแบบระบบ เพราะเป็นวิธีที่ช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาต่าง ๆ ได้

    การดำเนินการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ยังช่วยให้สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ภายในอาคาร เช่น

  • การเปลี่ยนแปลงการใช้งานพื้นที่ (Occupancy)
  • การเปลี่ยนแปลงผังภายในอาคาร (Layout)
    รวมถึงตรวจสอบว่าอุปกรณ์หลักในระบบ เช่น อุปกรณ์ตรวจจับ ควบคุม และแจ้งเตือน ยังสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง

    ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ที่ไม่มีโปรแกรมการดูแลอย่างครบถ้วนตามข้อกำหนดของกฎหมาย ก็ไม่ต่างอะไรกับรถที่มีแค่สามล้อ

    ความน่าเชื่อถือ (Reliability) เป็นสิ่งที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ บำรุงรักษาระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ มาตรฐาน NFPA 72 – National Fire Alarm and Signaling  Code ได้ระบุข้อกำหนดนี้ไว้อย่างชัดเจน และวางความรับผิดชอบในการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาเป็นของ เจ้าของหรือผู้ดูแลสถานที่ โดยตรง

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบดับเพลิงตามมาตรฐานของ NFPA

NFPA – National Fire Protection Association เป็นมาตรฐานควบคุมการป้องกันเพลิงไหม้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศไทยก็ประยุกติ์ใช้อยู่

    NFPA 25 คือมาตรฐานสำหรับการตรวจสอบ การทดสอบ และการบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัยที่ใช้น้ำ โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำหนดข้อกำหนดขั้นต่ำในการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา (ITM) เพื่อให้เกิดการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินจากอัคคีภัยในระดับที่เหมาะสม

    มาตรา 5:18 ของมาตรฐาน NFPA 25 จากฉบับปี 2017 ถึงปี 2024

 
    NFPA 58 กำหนดรายละเอียดทางเทคนิคที่จำเป็นต่อการก่อสร้าง การใช้งาน และการบำรุงรักษาสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) อย่างปลอดภัย


    NFPA 59 กำหนดมาตรฐานสำหรับโรงงานบริการสาธารณูปโภคที่ใช้ก๊าซ

    NFPA 72 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “National Fire Alarm and Signaling Code” กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการติดตั้ง การทำงาน การทดสอบ การตรวจสอบ และการบำรุงรักษาระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ในเชิงพาณิชย์

ความสำคัญของการตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงป้องกันสำหรับระบบป้องกันอัคคีภัยในเชิงพาณิชย์

ระบบป้องกันอัคคีภัยในเชิงพาณิชย์ เช่น ระบบสปริงเกลอร์, วาล์วกันน้ำย้อนกลับ (Backflow Preventers), ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ, ถังดับเพลิง และสัญญาณเตือนไฟไหม้ มีไว้เพื่อปกป้องพนักงานและลูกค้าของคุณจากอันตราย และช่วยให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างปลอดภัย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

    การตรวจสอบเชิงป้องกันโดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบอัคคีภัย ช่วยให้มั่นใจว่าอุปกรณ์และระบบป้องกันไฟของคุณยังคงอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถทำหน้าที่หยุดยั้งการลุกลามของไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คำกล่าวที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” ไม่เคยจริงไปกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยในร้านค้าปลีกหลายสาขา ศูนย์กระจายสินค้า ร้านอาหาร หรือโรงภาพยนตร์

การตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงป้องกัน

การดูแลชีวิตของผู้ที่อยู่ภายในอาคารควรเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าไฟจะเกิดขึ้นเมื่อใด การตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานผิดพลาดของระบบเมื่อเกิดเหตุจำเป็น

การตรวจสอบยังช่วยระบุว่าควรซ่อมบำรุงหรืออัปเดตส่วนใดของระบบ

    นอกจากนี้ ยังมีโทษปรับจำนวนมากหากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานของ NFPA 72 หรือข้อกำหนดของหน่วยงานท้องถิ่นที่มีอำนาจ (AHJ) รวมถึงกฎระเบียบของ International Code Council (ICC) และข้อกำหนดจากบริษัทประกันภัย

ประโยชน์ของการตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่

สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยในทุกสถานที่
✔ ป้องกันค่าปรับจากสัญญาณเตือนไฟไหม้ลวงหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
✔ ช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้ต่อเนื่อง ลดการสูญเสียในระยะยาว
✔ ประหยัดค่าใช้จ่ายจากอุปกรณ์ที่ชำรุดหรือเกิดสนิม
✔ ลดความเครียดและเพิ่มความมั่นใจเมื่อมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
✔ สร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน ผู้มาเยือน และลูกค้า

การตรวจสอบระบบหัวฉีดน้ำดับเพลิง (Fire Sprinklers Inspections)

การตรวจสอบระบบหัวฉีดน้ำดับเพลิงถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่สุดของการตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัย รหัสความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่นำมาใช้บังคับ กำหนดให้สถานประกอบการเชิงพาณิชย์และองค์กรไม่แสวงหากำไรทั้งหมด ต้องปฏิบัติตาม มาตรฐาน NFPA 25 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการตรวจสอบ การทดสอบ และการบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัยที่ใช้น้ำ

    มาตรฐานดังกล่าวกำหนดให้บางรายการตรวจสอบสามารถดำเนินการได้โดยพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรม ขณะที่บางรายการต้องดำเนินการโดย ช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต หรือ ผู้ตรวจสอบระบบหัวฉีดน้ำดับเพลิง

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

    การตรวจสอบแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ดังนี้

  • รายสัปดาห์ (โดยพนักงาน): ตรวจสอบมาตรวัด (Gauges) และวาล์วควบคุมของระบบแบบแห้ง, พรีแอคชัน, และเดลลูจ
  • รายเดือน (โดยพนักงาน): ตรวจสอบมาตรวัดและวาล์วแจ้งเตือนของระบบท่อเปียก
  • รายปี (โดยผู้เชี่ยวชาญ): ตรวจสอบอาคาร, อุปกรณ์แขวน/ค้ำยันกันแผ่นดินไหว, ท่อ/ข้อต่อ, หัวฉีด, ป้ายข้อมูล, หัวฉีดสำรอง, วาล์วพรีแอคชัน/เดลลูจ, วาล์วท่อแห้ง, และอุปกรณ์กันน้ำย้อนกลับ
  • ทุก 5 ปี (โดยผู้เชี่ยวชาญ): ตรวจสอบภายในของท่อฉีดน้ำ, สิ่งอุดตัน, และวาล์วกันกลับ

 ตามรายงาน U.S. Experience with Sprinklers 2017 ของ NFPA

    การชำรุดของระบบหัวฉีดน้ำมีการรายงาน 660 ครั้งต่อปี ซึ่งเกิดบ่อยเป็น 2 เท่าของกรณีที่หัวฉีดทำงานแต่ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้
    ในกรณีที่หัวฉีดทำงานแต่ไม่สามารถควบคุมไฟได้ 51% เกิดจากน้ำไม่สามารถไปถึงต้นเพลิงได้

การตรวจสอบและทดสอบวาล์วกันน้ำย้อนกลับ (Backflow Preventer Inspections & Testing)

    หน่วยป้องกันน้ำย้อนกลับ (Backflow Preventer Assembly) ต้องอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ:

  1. เพื่อรักษาความสะอาดและความปลอดภัยของน้ำดื่มในอาคาร
  2. เพื่อให้แน่ใจว่าระบบหัวฉีดน้ำดับเพลิงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ดังนั้นตามกฎหมาย อุปกรณ์นี้ ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างน้อยปีละครั้ง โดย บริษัทตรวจสอบระบบหัวฉีดน้ำที่ได้รับใบอนุญาต (ไม่ใช่เฉพาะช่าง Backflow)

    ตามข้อมูลจาก Certified Commercial Property Inspectors Association (CCPIA)
    สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ (EPA) กำหนดให้แต่ละเทศบาลมีหน้าที่รับผิดชอบในความสะอาดของน้ำดื่มในพื้นที่ของตน ดังนั้นข้อกำหนดในการตรวจสอบอุปกรณ์กันน้ำย้อนกลับในเชิงพาณิชย์อาจแตกต่างกันไปเล็กน้อยในแต่ละภูมิภาค

ข้อกำหนดทั่วไปในการตรวจสอบ Backflow ได้แก่

  • ตรวจสอบเมื่อมีการติดตั้งครั้งแรกโดยช่างประปาที่ได้รับอนุญาต
  • ตรวจสอบ/ทดสอบประจำปีของจุดควบคุมการเชื่อมต่อข้าม (Cross-connection) และอุปกรณ์ Backflow โดยช่างที่มีใบอนุญาต
  • ตรวจสอบและทดสอบหลังจากการซ่อมแซม การเปลี่ยน หรือการย้ายตำแหน่ง
การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

การตรวจสอบระบบดับเพลิงที่ไม่ใช้น้ำ (Non-Water-Based Fire Suppression Inspections)

    ระบบดับเพลิงแบบไม่ใช้น้ำมีลักษณะและการทำงานคล้ายกับระบบหัวฉีดน้ำดับเพลิง แต่แทนที่จะใช้น้ำ จะใช้สารเคมี ก๊าซ หรือโฟมในการดับไฟ โดยทำหน้าที่ตัดออกซิเจนและควบคุมเพลิง

    ระบบดับเพลิงประเภทนี้ต้องได้รับการตรวจสอบปีละ 2 ครั้ง โดยช่างเทคนิคที่ได้รับใบอนุญาตด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัย เพื่อให้แน่ใจว่า

  • มีสารดับเพลิงที่สะอาดเพียงพอ
  • ภาชนะบรรจุมีแรงดันที่เหมาะสม
  • ไม่มีความเสียหายที่มองเห็นได้บนตัวถัง

เนื่องจากแต่ละระบบใช้สารที่แตกต่างกัน การบังคับใช้จึงอิงตามมาตรฐานที่แตกต่างกัน เช่น: NFPA 12, NFPA 11, NFPA 16, NFPA 1901, NFPA 2001, NFPA 72, NFPA 96 และข้อกำหนดของหน่วยงานท้องถิ่น (AHJ)

การตรวจสอบระบบดับเพลิงในเครื่องดูดควันของห้องครัว (Kitchen Hood Fire Suppression System Inspections)

การตรวจสอบระบบดับเพลิงในห้องครัวช่วยปกป้องชีวิตของพนักงานครัวและลูกค้าได้อย่างแท้จริง

    ตามมาตรฐาน NFPA 96 ระบบดับเพลิงในเครื่องดูดควัน ต้องตรวจสอบทุก 6 เดือน โดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัย

ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสอบว่า หากเกิดเพลิงไหม้ ระบบจะ

  • ทำงานอัตโนมัติ
  • ดับไฟอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ตัดแหล่งพลังงาน (แก๊สหรือไฟฟ้า) ที่จ่ายให้กับอุปกรณ์

AIE แนะนำให้เจ้าของร้านอาหารหรือผู้จัดการครัวทำการตรวจสอบด้วยตนเองแบบเบื้องต้นทุกเดือน โดยให้ดำเนินการ

  • ตรวจสอบคราบไขมันที่สะสมหรืออุดตัน
  • ตรวจสอบแผ่นกรองที่เต็มไปด้วยไขมัน
  • ตรวจสอบหัวฉีดและท่อดับเพลิงว่ามีความเสียหายหรือไม่
  • มองหาสิ่งผิดปกติหรือสิ่งที่ดูน่าสงสัย

หมายเหตุ: คราบไขมันในเครื่องดูดควันสามารถติดไฟได้เมื่ออุณหภูมิถึงประมาณ 700°F
ในขณะที่เปลวไฟจากอุปกรณ์ทำอาหารมักสูงถึง 1,800°F การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันการลุกไหม้และการลุกลามของไฟผ่านระบบท่อดูดควัน

การตรวจสอบและการเฝ้าระวังระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ (Fire Alarm Inspections & Monitoring)

    ทุกอาคารหรือสถานที่ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นโรงงวน อาคารสำนักงาน ร้านค้าปลีก ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์กระจายสินค้า ร้านอาหาร หรือโรงภาพยนตร์ ต้องมีระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ที่เป็นไปตามมาตรฐานของ AHJ และ NFPA 72 และมีการตรวจสอบเป็นประจำตามนี้

  • รายสัปดาห์ (โดยพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรม) ตรวจสอบอุปกรณ์ของระบบเตือนไฟไหม้ แผงควบคุม แหล่งจ่ายไฟ ฟิวส์ หลอด LED และสัญญาณเตือนผิดพลาด
  • รายเดือน (โดยพนักงานที่ฝึกอบรม) ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่ เช่น สนิมหรือการกัดกร่อน
  • ทุก 6 เดือน (โดยช่างที่ได้รับอนุญาต) ตรวจสอบอุปกรณ์เริ่มต้น เช่น เครื่องตรวจจับความร้อน ควัน ฝุ่น
  • รายปี (โดยช่างที่ได้รับอนุญาต) ตรวจสอบอุปกรณ์และส่วนประกอบของระบบเตือนไฟทั้งหมด

การตรวจสอบถังดับเพลิง (Fire Extinguisher Inspections)

ตามข้อกำหนดของ OSHA และ NFPA ถังดับเพลิงต้องได้รับการตรวจสอบรายเดือนเพื่อให้แน่ใจว่า

  • เข็มวัดแรงดันอยู่ในโซนสีเขียว (เต็ม)
  • สายยางไม่มีความเสียหาย
  • สลักนิรภัยอยู่ในตำแหน่งและแน่นหนา

การตรวจสอบรายเดือน สามารถดำเนินการโดยพนักงานที่ผ่านการอบรม โดยลงชื่อย่อและวันที่ด้านหลังของแท็กถัง

    การตรวจสอบรายปี ต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบรับรอง และรายงานผลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย
การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

ให้เป็นไปตามข้อกำหนดการตรวจสอบระบบดับเพลิงทั้งหมด โดยบริษัทตรวจสอบระบบไฟ AIE

    วิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดในการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดการตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยระดับประเทศและระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะในร้านค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือสถานที่เชิงพาณิชย์หลายแห่ง คือการร่วมมือกับ AIE กับเจ้าของ

    ตั้งแต่ปี 1983 เป็นต้นมา AIE ใช้แนวทางเชิงป้องกันแบบครบวงจรในการตรวจสอบระบบไฟ ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการด้านนี้ พร้อมทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาบุคคลที่สาม ดูแลการเตรียมความพร้อมก่อนตรวจสอบ และเป็นตัวแทนของคุณในการตรวจสอบตามกำหนด

ความเข้าใจเกี่ยวกับการทดสอบและบำรุงรักษาระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้เชิงพาณิชย์

การติดตั้งระบบที่ดีไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน

การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ (Fire Alarm System)

ระบบ BMA (Fire Alarm System) เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันอัคคีภัยเชิงป้องกัน ติดตั้งภายในอาคาร เพื่อ

  • แจ้งเตือนเมื่อเกิดควัน ไฟ หรือก๊าซ
  • เชื่อมต่อกับหน่วยดับเพลิง
  • เริ่มต้นระบบดับเพลิงอัตโนมัติ เช่น เปิดช่องระบายควัน ปิดประตูหนีไฟ ฯลฯ

    ข้อบังคับในการตรวจสอบและบำรุงรักษา

  • หากระบบเป็นไปตามข้อกำหนดของอาคาร ต้อง ตรวจสอบรายไตรมาส (ทุก 3 เดือน) และ บำรุงรักษารายปี
  • เฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่มีใบรับรอง เท่านั้นที่สามารถดำเนินการบำรุงรักษาได้
  • การตรวจสอบสามารถทำโดยเจ้าหน้าที่ของอาคารที่ได้รับการอบรมอย่างถูกต้อง

    รายละเอียดการตรวจสอบ (ตามมาตรฐาน DIN 14675)

  • ทุกไตรมาส: ตรวจสอบคราบฝุ่น ความเสียหาย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
  • ทุกปี: ปิดระบบชั่วคราว ตรวจสอบสัญญาณ ตรวจสอบการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ เช่น ช่องระบายควัน, ประตูหนีไฟ, ลิฟต์ ฯลฯ

        ส่วนประกอบที่ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลา

  • แบตเตอรี่: ทุก 4 ปี
  • เครื่องตรวจจับไฟ
    • มีระบบชดเชยฝุ่น: ไม่เกิน 8 ปี
    • ไม่มีระบบชดเชยฝุ่น: ไม่เกิน 5 ปี

     ตรวจสอบเป็นรายไตรมาสละ 25% ของอุปกรณ์ เพื่อครอบคลุมทั้งระบบภายใน 1 ปี

         คุณภาพในการตรวจสอบ

  • ใช้แบบฟอร์มเช็กลิสต์
  • บันทึกลงสมุดปฏิบัติงาน
  • ออกใบรับรองการตรวจสอบตามมาตรฐาน DIN 14675, DIN VDE 0833 และ ISO 9001

    เจ้าหน้าที่ของเราผ่านการอบรมต่อเนื่องทุก 4 ปีที่ Fire Safety Academy

 ตู้ควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้ (Fire Alarm Control Cabinet / Fire Alarm Control Panel)

    รายการตรวจสอบตู้ควบคุมสัญญาณเตือนไฟไหม้ประกอบด้วย

  1. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแหล่งจ่ายไฟ
    1. ตรวจสอบความเสถียรของระบบจ่ายไฟหลักและแบตเตอรี่สำรอง
    1. วัดค่ากระแสและแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
  2. ตรวจสอบระบบเซนเซอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
    1. ตรวจสอบการเชื่อมต่อกับเครื่องตรวจจับควัน, ความร้อน, และอุปกรณ์ป้อนสัญญาณต่าง ๆ
    1. ทดสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นสามารถส่งสัญญาณเตือนไปยังตู้ควบคุมได้ตามปกติ
  3. ตรวจสอบโปรแกรมและการตั้งค่าระบบ
    1. ตรวจสอบการตั้งค่าซอฟต์แวร์และฟังก์ชันของระบบควบคุม
    1. อัปเดตการตั้งค่าให้เป็นไปตามมาตรฐานปัจจุบันหากจำเป็น
  4. ตรวจสอบโครงสร้างและความสะอาดของตู้ควบคุม
    1. ตรวจสอบสภาพตู้ควบคุมว่ามีความเสียหาย ฝุ่น หรือสิ่งแปลกปลอมหรือไม่
    1. ทำความสะอาดภายในตู้เพื่อลดความเสี่ยงจากการลัดวงจรหรือระบบรวน
  5. บันทึกข้อมูลและให้คำแนะนำ
    1. จัดเก็บข้อมูลผลการตรวจสอบ
    1. ให้คำแนะนำในการบำรุงรักษาหรือการแก้ไขจุดบกพร่อง

มาตรฐานการสอบเทียบเครื่องมือ

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบ ได้รับการสอบเทียบตามมาตรฐาน ISO 17025 เพื่อความแม่นยำ น่าเชื่อถือ และเป็นไปตามข้อกำหนดทางวิศวกรรมความปลอดภัย

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

การตรวจสอบตู้ควบคุมระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ (Fire Alarm Control Panel)

        การตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแหล่งจ่ายไฟ

  • ตรวจสอบความพร้อมของระบบไฟหลักและระบบสำรอง รวมถึงแบตเตอรี่ ให้สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง
  • ตรวจสอบสายไฟภายในตู้ควบคุมให้เป็นระเบียบ ปลอดภัยจากการลัดวงจร
  • วัดค่าแรงดันไฟฟ้า (Voltage) และกระแสไฟฟ้า (Current) ทั้งกระแสสลับ (VAC) และกระแสตรง (VDC) ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน

        การตรวจสอบการทำงานของระบบสัญญาณเตือน

  • ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ตรวจจับ (เซนเซอร์), ไซเรน และอุปกรณ์เชื่อมต่ออื่น ๆ ทุกชนิด
  • ทดสอบการส่งสัญญาณเตือนให้มีความถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำ
  • ตรวจสอบการแสดงผลและสัญญาณเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติ
  • ทดสอบการ รีเซ็ตระบบ (System Reset) เพื่อให้แน่ใจว่าระบบสามารถกลับมาใช้งานได้อย่างถูกต้องหลังเกิดเหตุ

         การบันทึกและรายงานผล

  • บันทึกผลการตรวจสอบทั้งหมดอย่างเป็นระบบ
  • จัดทำรายงานสรุปสถานะการทำงานของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้

การทดสอบฟังก์ชันและการทำความสะอาด (Function Test & Cleaning)

รายการตรวจสอบฟังก์ชันของระบบ

  • ตรวจสอบความถูกต้องของการเดินสายไฟที่ Mainboard, Cards และ Terminals
  • ตรวจสอบสภาพของขั้วแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพการจ่ายไฟ
  • ตรวจสอบไฟแสดงสถานะ (LEDs) และปุ่มควบคุมบนตู้ควบคุม
  • ทดสอบการทำงานของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้งานได้จริงในกรณีฉุกเฉิน
  • ทำความสะอาดภายในตู้ควบคุม เพื่อป้องกันฝุ่นละออง ความชื้น และสิ่งปนเปื้อนที่อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบ
การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

การบำรุงรักษาอุปกรณ์ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้  (Maintenance of Fire Alarm Equipment)

    ปัญหาสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเองโดยไม่มีเหตุ หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยของการทำงานผิดปกติของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ คือ การขาดการดูแลทำความสะอาด ทำให้เกิดปัญหา เช่น:

  • ฝุ่นละอองสะสมในเครื่องตรวจจับ
  • แมลงหรือแมงมุมเข้าไปในตัวอุปกรณ์และทำให้วงจรเสียหาย
  • อุปกรณ์ส่งสัญญาณผิดพลาดโดยไม่เกิดเหตุจริง

    แนวทางแก้ไข: การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

“ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ของลูกค้า ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ”

  • ถอดอุปกรณ์เพื่อตรวจสอบภายในและทำความสะอาด
  • ตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ด้วยสายตา (Visual Inspection)
  • ทำความสะอาดตัวเซนเซอร์และโครงสร้าง เพื่อป้องกันฝุ่นและสิ่งแปลกปลอม

    การดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

เครื่องตรวจจับความร้อน (Heat Detector)

  การตรวจสอบเครื่องตรวจจับความร้อนควรครอบคลุมดังนี้

  •  ตรวจสอบค่าการทำงานของเซนเซอร์ (Sensitivity Setting): ให้แน่ใจว่าตั้งค่าความไวถูกต้องตามมาตรฐาน
  •  ตรวจสอบเวลาตอบสนองต่ออุณหภูมิ (Response Time): ตรวจสอบว่าตัวตรวจจับตอบสนองต่อความร้อนภายในเวลาที่กำหนด
  • ทดสอบความสมบูรณ์ของวงจร (Circuit Integrity): เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ยังสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย และไม่มีสายไฟขาดหรือชำรุด

ทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้พร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

    เครื่องตรวจจับความร้อนมีความสำคัญอย่างมากในการป้องกันไฟไหม้ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วในบริเวณนั้น ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเกิดไฟไหม้หรือความร้อนผิดปกติได้ เครื่องตรวจจับความร้อนจะส่งสัญญาณเตือนไปยังระบบควบคุมเพื่อให้ตอบสนองอย่างทันท่วงที

    การควบคุมเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องดักจับควันไฟ (Smoke detector)

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

การตรวจสอบเครื่องตรวจจับควันเพื่อให้มั่นใจว่ายังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ เครื่องตรวจจับควันทำงานโดยการวัดความเข้มข้นของอนุภาคควันที่ผ่านเข้ามาในห้องตรวจจับ ด้วยเทคโนโลยีการตรวจจับแบบโฟโตอิเล็กทริก (Photoelectric) หรือไอออไนเซชัน (Ionization) ดังนั้น การตรวจสอบความไวของเซนเซอร์จึงมีความสำคัญมาก

    “การทดสอบการตอบสนองของเซนเซอร์อย่างสม่ำเสมอและการเชื่อมต่อกับตู้ควบคุม จะช่วยให้การแจ้งเตือนเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ลดการแจ้งเตือนผิดพลาด และพร้อมใช้งานในยามฉุกเฉิน”

    เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์สามารถตรวจจับอนุภาคควันได้อย่างแม่นยำในระยะแรก และส่งสัญญาณเตือนได้อย่างรวดเร็วตามมาตรฐานสากล

การบำรุงรักษา

    เครื่องตรวจจับควันสามารถช่วยชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อมีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและทำงานได้อย่างถูกต้อง


    ขั้นตอนที่ควรจำไว้

  • อ่านคำแนะนำจากผู้ผลิตให้ละเอียด
  • ตรวจสอบแบตเตอรี่เดือนละครั้งโดยการกดปุ่มทดสอบ (Test Button)
    หากไม่สามารถกดปุ่มได้สะดวก ให้ใช้ด้ามไม้กวาดช่วย
  • ทำความสะอาดเครื่องตรวจจับควันเป็นประจำ
    ฝุ่นละอองและเศษสิ่งสกปรกอาจรบกวนการทำงานของเครื่องได้
    ควรดูดฝุ่นบริเวณรอบ ๆ เครื่องตรวจจับควันเป็นประจำ
  • เปลี่ยนแบตเตอรี่อย่างน้อยปีละครั้ง
    เลือกวันสำคัญที่จำได้ง่าย เช่น วันเมษาหน้าโง่ (April Fool’s Day), วันครบรอบ หรือวันเกิด
    แล้วเปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกปีในวันนั้น
    เครื่องส่วนใหญ่จะส่งเสียง ‘บี๊บ’ สั้น ๆ ทุก ๆ นาทีเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด — เป็นสัญญาณเตือนให้เปลี่ยนแบตเตอรี่
  • เครื่องตรวจจับควันที่ใช้แบตเตอรี่ลิเทียมแบบอายุการใช้งาน 10 ปีจะ ไม่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ (ออกแบบให้ป้องกันการดัดแปลง)
  • ห้ามทาสีเครื่องตรวจจับควันโดยเด็ดขาด
  • หากควันจากการทำอาหารทำให้เครื่องตรวจจับทำงาน อย่าปิดหรือถอดเครื่องออก
    ให้เปิดพัดลมดูดอากาศ เปิดหน้าต่าง หรือโบกผ้าขนหนูใกล้ ๆ เครื่องจนกว่าเสียงจะหยุด
    หรือกดปุ่ม ‘Hush’ หากเครื่องมีฟังก์ชันนี้
  • ห้ามถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องตรวจจับควัน
  • เครื่องตรวจจับควันทุกประเภทมี อายุการใช้งานจำกัด
    ควรเปลี่ยนเครื่องใหม่ ก่อนถึงวันหมดอายุที่ระบุไว้ในใบรับประกันของผู้ผลิต

การเปลี่ยนเครื่องตรวจจับควัน

    เครื่องตรวจจับควันที่เดินสายไฟถาวรและแบบใช้แบตเตอรี่ส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้มีอายุการใช้งานแนะนำอย่างน้อย 10 ปี ภายใต้สภาพการใช้งานปกติ (ตามมาตรฐาน AS 3786)

  • เครื่องตรวจจับควันที่ใช้แบตเตอรี่ลิเทียมแบบ 10 ปีเป็นแบบกันงัดแงะ (tamper proof) ซึ่ง ต้องเปลี่ยนทั้งเครื่องหลังจากครบ 10 ปีนับจากวันที่ผลิต
  • หลังจากใช้งาน 10 ปี เครื่องตรวจจับควันอาจทำงานผิดปกติและประสิทธิภาพลดลงเนื่องจากฝุ่นสะสม แมลง สิ่งปนเปื้อนในอากาศ และการกัดกร่อนของวงจรไฟฟ้า
  • เครื่องตรวจจับควันทำงานตรวจจับอากาศตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 10 ปีจะมีการตรวจจับเป็นล้านรอบ ทำให้ส่วนประกอบต่าง ๆ เสื่อมสภาพและความน่าเชื่อถือของเครื่องลดลง
  • เมื่อเครื่องตรวจจับควันเก่าเกินไป โอกาสที่เครื่องจะทำงานล้มเหลวจะสูงขึ้น
  • เครื่องตรวจจับควันส่วนใหญ่จะมีวันที่หมดอายุหรือวันที่ควรเปลี่ยนพิมพ์อยู่บนตัวเครื่อง
  • หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ควรติดต่อผู้จัดจำหน่ายเครื่องตรวจจับควันที่ใช้

รายการตรวจสอบระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้

งานบริการทำความสะอาดตรวจสอบ
ตรวจสอบสถานะและฟังก์ชันของตู้ควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้
ตรวจสอบเครื่องตรวจจับควัน
ตรวจสอบเครื่องตรวจจับความร้อน
ตรวจสอบกล่องรวมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้
ตรวจสอบสถานีแจ้งเหตุด้วยมือ
ตรวจสอบเครื่องตรวจจับลำแสง (Projected Beam Detectors)
ตรวจสอบและทดสอบเสียงและความดังของสัญญาณเตือน
ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและการรั่วไหล
ตรวจสอบแบตเตอรี่ 24 VDC และเครื่องชาร์จแบตเตอรี่
ตรวจสอบหลอดไฟและไฟ LED
ตรวจสอบสภาพของตู้ควบคุมระบบ (FCP)

    หมายเหตุ: เครื่องหมายถูกสีเขียวหมายถึงงานบริการที่รวมอยู่ในราคาปกติ หากมีเงื่อนไขพิเศษกรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนรับบริการ

การบำรุงรักษาและการตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัย (สำหรับเรือเดินสมุทร)

กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ตาม SOLAS Chapter II-2/14.2.2 กำหนดให้มีการบำรุงรักษา ทดสอบ และตรวจสอบระบบป้องกันและดับเพลิงอย่างสม่ำเสมอ
  • แผนการบำรุงรักษาต้องเป็นไปตามแนวทางของ MSC.1/Circ.1432 และ MSC.1/Circ.1516
  • แผนบำรุงรักษาต้องเก็บไว้บนเรือพร้อมให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ทุกเมื่อ

    วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ

  • การบำรุงรักษาและการตรวจสอบช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างเชื่อถือได้
  • การตรวจสอบเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ส่งมอบเรือ หรือวันที่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วน/ทดสอบล่าสุด
  • ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตควบคู่ไปกับแนวทางดังกล่าว

ตารางสรุประยะเวลาการบำรุงรักษา ทดสอบ และตรวจสอบอุปกรณ์ดับเพลิงหลัก

อุปกรณ์ระยะเวลาสรุปข้อกำหนดมาตรฐานอ้างอิง
ถังดับเพลิงแบบพกพารายปีตรวจสอบตามคำแนะนำผู้ผลิตRes.A.951(23), para.9.1
ทุก 5 ปีทดสอบการปล่อยสารดับเพลิงในระหว่างซ้อมดับเพลิงRes.A.951(23), para.9.1.1
ทุก 10 ปีทดสอบความทนแรงดัน (Hydrostatic Test)Res.A.951(23), para.9.1.2
ถังดับเพลิงเคลื่อนที่ (ล้อเลื่อน)รายเดือนตรวจสอบการมีอยู่ของถังMSC.1/Circ.1432, para.5.9
รายปีตรวจสอบตามคำแนะนำผู้ผลิตMSC.1/Circ.1432, para.7.12
ทุก 5 ปีตรวจสอบภายนอกMSC.1/Circ.1432, para.9.6
ทุก 10 ปีทดสอบความทนแรงดันMSC.1/Circ.1432, para.10.5
ถังโฟมดับเพลิงแบบพกพารายเดือนตรวจสอบตามคำแนะนำผู้ผลิตMSC.1/Circ.1432, para.5.8
รายปีทดสอบการควบคุมโฟมMSC.1/Circ.1432, para.7.11
ระบบดับเพลิง CO2 แบบติดตั้งถาวรรายเดือนตรวจสอบส่วนประกอบทุกชิ้นMSC.1/Circ.1318, para.4
รายปีตรวจสอบภายนอกMSC.1/Circ.1318, para.5
ทุก 2.5 ปีตรวจสอบปริมาณสารดับเพลิงMSC.1/Circ.1318, para.6.1
ทุก 5 ปีทดสอบการทำงานMSC.1/Circ.1318, para.6.2
ทุก 10 ปีทดสอบความทนแรงดันMSC.1/Circ.1318, para.6.1
ระบบดับเพลิงผงเคมีแห้งติดตั้งถาวรรายเดือนตรวจสอบวาล์วและเกจวัดMSC.1/Circ.1432, para.5.6
รายปีตรวจสอบภายนอกMSC.1/Circ.1432, para.7.9
ทุก 2 ปีทดสอบตัวอย่างผงเคมีMSC.1/Circ.1432, para.8.2
ทุก 10 ปีทดสอบความทนแรงดันหรือทดสอบไม่ทำลายชิ้นส่วนMSC.1/Circ.1432, para.10.3
ระบบดับเพลิงโฟมติดตั้งถาวรรายเดือนตรวจสอบวาล์วและเกจวัดMSC.1/Circ.1432, para.5.3
รายไตรมาสตรวจสอบปริมาณโฟมMSC.1/Circ.1432, para.6.2
รายปีทดสอบการทำงานและเก็บตัวอย่างMSC.1/Circ.1432, para.7.4
ทุก 5 ปีตรวจสอบชิ้นส่วนMSC.1/Circ.1432, para.9.2
อุปกรณ์ช่วยหายใจ (SCBA)รายสัปดาห์ตรวจสอบเกจวัดแรงดันถังMSC.1/Circ.1432, para.4.5
รายปีตรวจสอบสภาพการใช้งานMSC.1/Circ.1432, para.7.8.2
ทุก 5 ปีทดสอบความทนแรงดันMSC.1/Circ.1432, para.9.4
อุปกรณ์ช่วยหายใจฉุกเฉิน (EEBD)รายสัปดาห์ตรวจสอบเกจวัดแรงดันถังMSC.1/Circ.1432, para.4.5
รายปีตรวจสอบตามคำแนะนำผู้ผลิตMSC.1/Circ.1432, para.7.8.3
ระบบน้ำหมอก น้ำพ่น และสปริงเกอร์รายสัปดาห์ตรวจสอบภายนอกMSC.1/Circ.1432, para.4.7
รายเดือนตรวจสอบวาล์วและเกจวัดMSC.1/Circ.1432, para.5.4
รายไตรมาสประเมินคุณภาพน้ำMSC.1/Circ.1516, para.6.5
รายปีทดสอบการเป่าลมและน้ำMSC.1/Circ.1516, para.7.5
ทุก 5 ปีตรวจสอบวาล์วควบคุมภายในMSC.1/Circ.1516, para.9.3
ทุก 10 ปีทดสอบความทนแรงดันถังแก๊สและน้ำMSC.1/Circ.1432, para.10.2

แนวทางปฏิบัติ ITM ของระบบดับเพลิงตามข้อกำหนดของ Smithsonian Institution (SI), USA

  1. บทนี้กำหนดข้อกำหนดของ Smithsonian Institution (SI) สำหรับการตรวจสอบ ทดสอบการทำงาน และบำรุงรักษาเชิงป้องกันสำหรับ:
    • ระบบดับเพลิง
    • ระบบตรวจจับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้
    • ระบบควบคุมควัน
    • ระบบไฟส่องสว่างฉุกเฉินและทางออก
    • ประตูหนีไฟ
    • ระบบความปลอดภัยชีวิตและอุปกรณ์อื่น ๆ
  2. ระบบความปลอดภัยและดับเพลิงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการสนับสนุนพันธกิจของสถาบัน ดังนั้นต้องมีการตรวจสอบและดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงความเชื่อถือได้
  3. การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาจะต้องเป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตและภาคผนวกต่าง ๆ ที่แนบไว้

B. บทบาทและความรับผิดชอบเฉพาะของแต่ละฝ่าย

1. ผู้จัดการอาคาร

  • ต้องรับประกันว่ามีการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบตามข้อกำหนด
  • จัดเก็บและแจกจ่ายบันทึกการตรวจสอบให้ผู้ประสานงานด้านความปลอดภัยและสำนักงาน OSHEM

2. ผู้ประสานงานด้านความปลอดภัย

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการดำเนินการ ITM อย่างครบถ้วนและบันทึกเป็นปัจจุบัน
  • ติดตามและเร่งรัดการซ่อมแซมข้อบกพร่องที่ตรวจพบ

3. สำนักงานบริหารจัดการและความเชื่อถือได้ (OFMR)

  • ตรวจสอบ ซ่อมแซม และบันทึกการทำงานของระบบ ITM
  • ประสานงานตารางเวลาการบำรุงรักษากับเจ้าหน้าที่อาคาร

4. สำนักงานบริการรักษาความปลอดภัย (OPS)

  • ตรวจสอบถังดับเพลิงพกพาเป็นรายเดือน
  • ตรวจสอบประตูทางออกฉุกเฉินเป็นรายสัปดาห์

5. ธุรกิจในเครือของ SI เช่น FONZ

  • ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบครัวและฮูดดูดควันตามระยะเวลา
  • หยุดการปรุงอาหารหากระบบดับเพลิงในครัวใช้งานไม่ได้

C. องค์ประกอบของโปรแกรม

  1. การฝึกอบรม – พนักงานที่ปฏิบัติ ITM ต้องผ่านการฝึกอบรมและมีคู่มือจากผู้ผลิต
  2. ระบบที่ถูกระงับชั่วคราว (Impairment) – ต้องเป็นไปตามมาตรการความปลอดภัยที่ระบุไว้ในบทที่ 36
  3. การตรวจสอบที่จำเป็น – ทุกรายการต้องได้รับการตรวจสอบตามภาคผนวกที่แนบไว้ (Attachment 1–17)

D. บันทึกและรายงาน

  1. บันทึกต้นฉบับ – ต้องเก็บรักษาตลอดอายุการใช้งานของระบบ เช่น แผนผัง, คู่มือ, วันที่ติดตั้ง ฯลฯ
  2. เอกสาร ITM – ต้องเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปีสำหรับรายการที่ตรวจสอบไม่เกินปีละครั้ง
  3. ระบบจัดการข้อมูล ITM – OFMR จะต้องจัดทำฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่บันทึกประวัติการบำรุงรักษาและทดสอบทั้งหมด
  4. รายงาน ITM – จะต้องสรุปแนวโน้ม (เช่น อัตราความล้มเหลว อายุของระบบ) และเสนอแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพ

E. เอกสารอ้างอิง

ประกอบด้วยมาตรฐาน NFPA ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 ฉบับ เช่น:

  • NFPA 10: ถังดับเพลิงแบบพกพา
  • NFPA 13: ระบบสปริงเกลอร์
  • NFPA 25: การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบน้ำดับเพลิง
  • NFPA 72: ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้
  • NFPA 101: รหัสความปลอดภัยชีวิต

    ด้านล่างคือ สรุปแต่ละภาคผนวก (Attachments 1–18) จากเอกสาร “Fire Systems Inspection, Testing, and Maintenance (ITM)” โดยสถาบัน Smithsonian:

       ภาคผนวก 1: ระบบสปริงเกลอร์อัตโนมัติ (Automatic Sprinkler Systems)

  • ตรวจสอบ: เกจวัด, วาล์วควบคุม, อุปกรณ์เตือนภัย, หัวฉีด ฯลฯ รายสัปดาห์/รายเดือน/รายปี
  • ทดสอบ: การไหลหลัก (main drain), สารป้องกันการแข็งตัว, หัวฉีดอุณหภูมิสูงทุก 5 ปี
  • บำรุงรักษา: ตรวจสอบสิ่งอุดตัน, การระบายน้ำก่อนฤดูหนาว

ภาคผนวก 2: ระบบท่อส่งน้ำและสายฉีดน้ำ (Standpipe and Hose Systems)

  • ตรวจสอบวาล์ว, ท่อ, หัวต่อสาย, และอุปกรณ์เตือนภัยอย่างน้อยรายไตรมาส
  • ทดสอบแรงดัน, การไหลของน้ำ และความดันไฮโดรสแตติกทุก 5 ปี
  • ดูแลหัวฉีดและสายยางตามมาตรฐาน NFPA 1962

    ภาคผนวก 3: ท่อน้ำเอกชนสำหรับดับเพลิง (Private Fire Service Mains)

  • ตรวจสอบและทดสอบระบบท่อน้ำใต้ดิน, หัวรับน้ำดับเพลิง (hydrants), หัวฉีด (monitor nozzles)
  • การไหลและซ่อมบำรุงรายปีหรือ 3 ปี

    ภาคผนวก 4: ปั๊มน้ำดับเพลิง (Fire Pumps)

  • ตรวจสอบปั๊ม, ระบบควบคุม, เครื่องยนต์ดีเซลรายสัปดาห์
  • ทดสอบการเดินเครื่องไม่มีโหลดทุกสัปดาห์ และโหลดเต็มปีละครั้ง
  • บำรุงรักษา: ตรวจสอบแรงดัน, อุณหภูมิ, น้ำมัน, แบตเตอรี่ ฯลฯ

    ภาคผนวก 5: ถังเก็บน้ำสำหรับดับเพลิง (Water Storage Tanks)

  • ตรวจสอบระดับน้ำ, อุณหภูมิ, ความร้อน, ระบบระบายอากาศ, วาล์ว
  • ทดสอบอุปกรณ์แจ้งเตือน, เกจวัด, ตัวตัดอุณหภูมิสูง
  • ทำความสะอาดตะกอนปีละ 2 ครั้ง

    ภาคผนวก 6: วาล์วและหัวรับน้ำจากหน่วยดับเพลิง (Valves and FDCs)

  • ตรวจสอบวาล์ว, สวิตช์แทมเปอร์, ตัวกรอง, ระบบ pre action/deluge
  • ทดสอบการทำงานของวาล์ว, อุปกรณ์เตือน, อุปกรณ์ควบคุมความดัน เป็นต้น

    ภาคผนวก 7: ฮูดครัวและระบบดับเพลิงในครัว (Kitchen Hoods & Suppression)

  • ตรวจสอบหัวฉีด, เกจ, ตัวควบคุม, ลิงค์หลอมละลาย (fusible links)
  • ทดสอบระบบปิดแก๊ส/ไฟฟ้า, ระบบล้างอัตโนมัติ, และการส่งสัญญาณ
  • ล้างคราบไขมันและทำความสะอาดทุก 3-6 เดือน

    ภาคผนวก 8: ระบบ HALON

  • ตรวจสอบแรงดันและปริมาณสารดับเพลิงทุก 6 เดือน
  • ทดสอบการจ่ายสารแบบจำลอง และอุปกรณ์ช่วยทั้งหมด
  • ตรวจสอบห้องปิดผนึก และทดสอบถังทุก 5 ปี

    ภาคผนวก 9: ระบบดับเพลิงแบบก๊าซสะอาด (Clean Agent Systems)

  • เหมือนกับระบบ HALON แต่ใช้สารที่ไม่ทำลายโอโซน เช่น FM-200, Novec 1230
  • ตรวจสอบระบบห้อง, ท่อ, หัวฉีด และอุปกรณ์แจ้งเตือน

    ภาคผนวก 10: ระบบตรวจจับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Detection & Alarm)

  • ตรวจสอบอุปกรณ์แจ้งเตือน, แบตเตอรี่, ระบบควบคุม, ตัวตรวจจับ
  • ทดสอบอุปกรณ์ทั้งหมดตามความถี่ที่กำหนด (บางอย่างรายเดือน บางอย่างปีละครั้ง)

    ภาคผนวก 11: เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและแสงสว่างฉุกเฉิน

  • ทดสอบแสงสว่าง 30 วินาทีทุกเดือน และ 90 นาทีทุกปี
  • ทดสอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าภายใต้โหลดทุกเดือน
  • ตรวจสอบระบบเชื้อเพลิง, ระบบหล่อเย็น, แบตเตอรี่, สวิตช์เปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟ

     ภาคผนวก 12: ประตูหนีไฟและทางออกฉุกเฉิน (Fire Doors & Exits)

  • ตรวจสอบสภาพบานประตู, ตัวปิดประตูอัตโนมัติ, อุปกรณ์ล็อก
  • ทดสอบให้แน่ใจว่าสามารถใช้งานได้และไม่ถูกกีดขวาง

    ภาคผนวก 13: ระบบลิฟต์สำหรับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง

  • ทดสอบโหมดตอบสนองฉุกเฉินของลิฟต์ (Phase I และ II)
  • ทดสอบแสงสว่างฉุกเฉินในลิฟต์ทุกเดือน

    ภาคผนวก 14: ระบบ HVAC และควบคุมควัน

  • ตรวจสอบแดมเปอร์, ระบบแรงดันบันไดหนีไฟ, ระบบควบคุมควัน
  • ทดสอบระบบควบคุมควัน (dedicated/non-dedicated) ทุก 6 เดือน/ปี

    ภาคผนวก 15: ถังดับเพลิงแบบพกพา (Portable Fire Extinguishers)

  • ตรวจสอบรายเดือน: ตำแหน่ง, ความดัน, สภาพภายนอก, ซีล
  • บำรุงรักษาทุกปี และทดสอบแรงดัน (hydrostatic) ทุก 5–12 ปี

    ภาคผนวก 16: ระบบป้องกันฟ้าผ่า (Lightning Protection Systems)

  • ตรวจสอบสายฟ้าผ่า, หัวต่อ, จุดลงดิน ฯลฯ ตามมาตรฐาน NFPA 780

    ภาคผนวก 17: ห้องพ่นสี (Paint Spray Booths)

  • ตรวจสอบอุปกรณ์ระบายอากาศ, การสะสมสารไวไฟ, ระบบป้องกันเพลิงไหม้

    ภาคผนวก 18: การรับรอง NICET

  • แนะนำให้เจ้าหน้าที่ ITM ได้รับการรับรองจาก NICET สำหรับระบบที่ดูแล

     หลักปฏิบัติในการออกแบบ ติดตั้ง ตรวจสอบ และบำรุงรักษาระบบตรวจจับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้ในที่อยู่อาศัยตามแนวทางของประเทศอังกฤษ

1. ขอบเขตการใช้งาน (Clause 1 – Scope)

    หัวข้อนี้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผน ออกแบบ ติดตั้ง ทดสอบระบบ และการบำรุงรักษาระบบตรวจจับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้ในที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุม:

  • บ้านพักอาศัยสำหรับครอบครัวเดียว
  • บ้านที่มีหลายยูนิต (เช่น หอพัก)
  • บ้านพักผู้สูงอายุ (Sheltered Housing)
  • บ้านพักอาศัยที่มีผู้พักอาศัยต้องการการสนับสนุน (Supported Housing)

    ไม่ครอบคลุม:

  • หอพัก โรงแรม เรือ หรือที่อยู่อาศัยรวมในแฟลต/คอนโดมิเนียม
  • อาคารพาณิชย์หรือที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย

    4. การประเมินความเสี่ยงจากอัคคีภัย (Clause 4 – Fire Risk Assessment)

    การออกแบบระบบตรวจจับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้ควรสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงจากไฟไหม้:

  • ความเสี่ยงสูง → ต้องมีระบบตรวจจับที่แม่นยำและมีความน่าเชื่อถือสูง
  • ความเสี่ยงต่ำ → อาจใช้ระบบง่าย ๆ ได้ เช่น สโมคอลาร์มแบบแยกตัว
  • ควรพิจารณาลักษณะผู้พักอาศัย เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีข้อจำกัดทางร่างกาย
  • หากเบี่ยงเบนจากคำแนะนำทั่วไป ต้องมีการประเมินความเสี่ยงประกอบ (Annex A มีแบบประเมินที่แนะนำ)

     7. ระดับของระบบ (Grades of System)

    ระบบถูกจัดระดับตามความซับซ้อนและความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์และแหล่งจ่ายไฟ:

เกรดรายละเอียด
Grade Aระบบที่ซับซ้อนสูง ใช้ CIE และแหล่งจ่ายไฟตาม EN 54-2 และ 54-4 เช่น ระบบในแฟลตหรือ HMO
Grade Cมีศูนย์ควบคุมกลาง ใช้ไฟหลัก + แบตเตอรี่สำรอง เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตรวจจับและแจ้งเหตุ
Grade D1/D2สโมคหรือฮีทอลาร์มที่ใช้ไฟบ้าน โดย D1 มีแบตเตอรี่แบบถอดไม่ได้ (tamper-proof) และ D2 แบบเปลี่ยนได้
Grade F1/F2อุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่เท่านั้น โดย F1 เป็นแบตเตอรี่ถอดไม่ได้ และ F2 เปลี่ยนได้โดยผู้ใช้

หมายเหตุ: ยิ่งเกรดสูง ยิ่งเหมาะกับพื้นที่เสี่ยงสูงหรือต้องการความน่าเชื่อถือ

    8. ประเภทของระบบ (Categories of System)

ระบบแบ่งตามวัตถุประสงค์ (ชีวิต หรือทรัพย์สิน):

     สำหรับปกป้องชีวิต (Category LD)

  • LD1: ตรวจจับในทุกห้องและทางเดิน
  • LD2: ตรวจจับเฉพาะในห้องสำคัญ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ทางหนีไฟ
  • LD3: ตรวจจับเฉพาะบริเวณทางเดินหนีไฟเท่านั้น

    สำหรับปกป้องทรัพย์สิน (Category PD)

  • PD1: ตรวจจับทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
  • PD2: ตรวจจับเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเฉพาะ เช่น ห้องเก็บของมีค่า

    สามารถมีระบบผสม เช่น LD2/PD2

    ตารางข้อกำหนดขั้นต่ำ (Table 1 – Life Protection)

ตารางนี้แนะนำเกรดและประเภทของระบบตามประเภทของที่อยู่อาศัย เช่น:

ประเภทอาคารเกรดขั้นต่ำประเภท (Category)
บ้านทั่วไปD1LD2
หอพัก/บ้านหลายยูนิต (HMO)ALD2 หรือ LD1
บ้านพักผู้สูงอายุALD1
บ้านเช่า/บ้านแบ่งห้องCLD2

    การดำเนินการหลังจากเกิดเพลิงไหม้

  • ทดสอบหัวตรวจจับหรือปุ่มกดแจ้งเหตุที่อาจได้รับผลกระทบ
  • ทดสอบเสียงเตือนทุกตัว
  • ตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นที่อาจได้รับผลกระทบ
  • ให้บริษัทบำรุงรักษาตรวจสอบระบบโดยละเอียด
  • ทดสอบฟังก์ชันเสริมทั้งหมด
  • ออกใบรับรองหลังการซ่อม

    สภาวะการแจ้งเตือนผิดพลาด

    การแจ้งเตือนผิดพลาดอาจทำให้ความเชื่อมั่นในระบบลดลง และทำให้การตอบสนองของหน่วยดับเพลิงลดระดับลง ควรดำเนินการดังนี้

  • ระบุว่าตัวตรวจจับหรือปุ่มใดที่ทำให้เกิดสัญญาณ
  • หาสาเหตุของการแจ้งเตือนผิดพลาด เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
  • บันทึกไว้ในสมุดบันทึก และแจ้งบริษัทบำรุงรักษา

ภาคผนวก

    ความเหมือนและแตกต่างการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาตามแนว NFPA 25 และ 72

  • NFPA 25 คือ มาตรฐานสำหรับการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบสปริงเกลอร์และระบบดับเพลิงด้วยน้ำ
  • NFPA 72 คือ มาตรฐานสำหรับระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้

    ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษนับตั้งแต่มีการเผยแพร่มาตรฐาน NFPA 25 เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการตรวจสอบ การทดสอบ และการบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัยด้วยน้ำ ได้มีผู้รับเหมาด้านระบบสปริงเกลอร์หลายรายเข้าสู่ตลาดในส่วนของการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบระงับอัคคีภัยด้วยน้ำ โดยที่ระบบสปริงเกลอร์เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด

    ในช่วงเวลานี้ มีผู้รับเหมาจำนวนเพิ่มมากขึ้นที่ได้รับประโยชน์จาก การขยายบริการให้ครอบคลุมถึงการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ ซึ่งสร้างคุณค่าเสริมให้กับธุรกิจบริการของตน ขณะเดียวกัน ผู้รับเหมารายอื่น ๆ ก็เพิ่งเริ่มต้นศึกษาหรือประเมินถึงประโยชน์จากการขยายบริการไปยังระบบความปลอดภัยด้านชีวิตและอัคคีภัยทุกประเภท

    ในมุมมองผิวเผิน อาจดูเหมือนว่าจุดประสงค์และวิธีการของการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบระงับอัคคีภัยด้วยน้ำและระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้จะสอดคล้องกัน แต่ในความเป็นจริง เอกสารมาตรฐานทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนจะตัดสินใจขยายบริการของผู้รับเหมาระบบสปริงเกลอร์ให้ครอบคลุมถึงระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้ เพราะหากเข้าใจผิดหรือไม่รอบคอบ อาจก่อให้เกิดผลเสียที่ไม่ได้ตั้งใจ

    แม้ว่า ทั้ง NFPA 25 และ NFPA 72 (ซึ่งเป็นมาตรฐานรหัสสัญญาณและสัญญาณเตือนไฟแห่งชาติ) จะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา (ITM) เหมือนกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างที่สำคัญ:

  • NFPA 72 ครอบคลุมหัวข้อเกี่ยวกับ “การประยุกต์ใช้งาน การติดตั้ง ตำแหน่ง การทำงาน” ของระบบสัญญาณเตือน รวมถึง “การทดสอบและบำรุงรักษา” โดยมีหนึ่งบท (บทที่ 14) ที่อุทิศให้กับการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาทั้งในช่วงเริ่มต้น (initial), การตรวจรับซ้ำ (reacceptance), และการตรวจสอบตามรอบระยะเวลา (periodic)
  • ในทางกลับกัน NFPA 25 เป็นมาตรฐานที่มุ่งเน้นเฉพาะเจาะจงในเรื่องการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบระงับอัคคีภัยด้วยน้ำในระยะยาวอย่างละเอียด ซึ่งครอบคลุมถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าของระบบ รายละเอียดของงานต่าง ๆ และแนวทางแก้ไขเมื่อพบข้อบกพร่อง

    ด้วยพื้นฐานนี้ เรามาเจาะลึกกันว่าในการปฏิบัติงานด้าน ITM นั้น มีจุดใดบ้างที่ เหมือนกันและแตกต่างกัน ระหว่างมาตรฐานทั้งสอง

    ขอบเขต (Scope)

    NFPA 25 และ NFPA 72 มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องแนวทางที่แต่ละมาตรฐานใช้ในการกำหนดขอบเขตของการตรวจสอบระบบ

     ตัวอย่างเช่น

  • NFPA 25 มุ่งเน้นไปที่ “สภาพการทำงาน (operating condition)” ของระบบป้องกันอัคคีภัย และระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่กำหนดให้ผู้ตรวจสอบต้องตรวจสอบความเพียงพอของการออกแบบระบบ”
  • ในทางตรงกันข้าม NFPA 72 ไม่มีข้อจำกัดลักษณะนี้ และไม่ได้จำกัดขอบเขตของการตรวจสอบและทดสอบไว้เพียงแค่การตรวจสอบว่าส่วนประกอบทำงานได้หรือไม่

    กลับกัน ตาราง 14.3.1 ใน NFPA 72 กำหนดให้ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดเป็นประจำทุกปีเพื่อให้แน่ใจว่า

  • ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อประสิทธิภาพของอุปกรณ์
  • รวมถึงตรวจสอบปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดัดแปลงอาคาร การเปลี่ยนลักษณะการใช้งานพื้นที่ หรือการเปลี่ยนตำแหน่งอุปกรณ์

    แม้ว่า NFPA 25 จะไม่ละเลยประเด็นด้านการออกแบบโดยสิ้นเชิง โดยกำหนดให้เจ้าของระบบต้องทำการประเมินระบบก่อนทำการเปลี่ยนแปลงตัวอาคาร เช่น เปลี่ยนการใช้งาน เปลี่ยนประเภทผู้ครอบครอง หรือเปลี่ยนประเภทวัสดุที่เก็บไว้
แต่ในภาคผนวก (Annex) ของมาตรฐานได้ชี้แจงว่า

  • เมื่อการตรวจสอบระบบถูกว่าจ้างให้ดำเนินการโดยผู้ให้บริการหรือผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติ
  • ผู้ตรวจสอบหรือผู้รับเหมาไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการพิจารณาว่ามีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ รวมถึงไม่ต้องรับผิดชอบในการประเมินระบบป้องกันอัคคีภัยหลังจากการเปลี่ยนแปลงนั้น

    ความแตกต่างด้านขอบเขตนี้มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อให้บริการ ITM ทั้งในระบบดับเพลิงด้วยน้ำและระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัย

    วัตถุประสงค์ (Purpose)

    NFPA 25 และ NFPA 72 มีคำชี้แจงวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมทั้งสองจึง “เหมือนกันแต่แตกต่าง”

  • NFPA 72 ระบุวัตถุประสงค์ในลักษณะ “เชิงวัตถุประสงค์ (objective)” เช่น
    • การกำหนด “วิธีการ” ส่งสัญญาณ
    • “ระดับ” ของสมรรถนะ
    • และ “ความน่าเชื่อถือ” ของระบบสัญญาณเตือนแต่ละประเภท
    • รวมถึงการกำหนดระดับขั้นต่ำของสมรรถนะ การสำรอง (redundancy) และคุณภาพการติดตั้ง

สำหรับกิจกรรมด้าน ITM, NFPA 72 ระบุว่า:

  • จุดประสงค์ของการตรวจสอบตามรอบระยะเวลาคือเพื่อ “รับประกันว่าความเสียหายหรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อการทำงานของระบบจะถูกตรวจพบโดยการตรวจสอบด้วยสายตา”
  • และเพื่อ “รับประกันความน่าเชื่อถือของการทำงานในเชิงสถิติ”
  • NFPA 25 ใช้ถ้อยคำที่ มีลักษณะ “เชิงอัตวิสัย (subjective)” มากกว่า โดยระบุว่า
    • วัตถุประสงค์คือการกำหนด “ข้อกำหนดที่รับรองระดับความปลอดภัย [ในระดับสมเหตุสมผล] สำหรับชีวิตและทรัพย์สินจากอัคคีภัย ผ่านวิธีการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาขั้นต่ำสำหรับระบบที่ใช้น้ำ”

NFPA 25 ถูกเขียนขึ้นโดย คำนึงถึงต้นทุนในการดำเนินการ ITM และความเสี่ยงที่ลดลงจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านั้น

    สรุปประเด็นสำคัญ

  • NFPA 72 มีแนวโน้มเน้นความครบถ้วนด้านวิศวกรรม ประสิทธิภาพ และความเชื่อถือได้ของระบบสัญญาณเตือน
  • NFPA 25 มุ่งเน้นที่การบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิภาพในเชิงปฏิบัติ โดยพิจารณาต้นทุนและผลกระทบในทางปฏิบัติเป็นหลัก

    ระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้มีลักษณะ ตรงไปตรงมากว่าระบบระงับอัคคีภัยด้วยน้ำ อย่างมาก เมื่อระบบถูกติดตั้งแล้ว โดยทั่วไปจะมีปัจจัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถส่งผลกระทบในทางลบต่อการทำงานและประสิทธิภาพของระบบ ตราบใดที่มีการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ระบบสัญญาณเตือนสมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็นแบบ addressable (สามารถระบุอุปกรณ์ได้แบบแยกเฉพาะ) และมีการ ตรวจสอบสถานะและสภาพการทำงานด้วยตนเอง (self-monitoring)

    ในทางตรงกันข้าม ระบบระงับอัคคีภัยด้วยน้ำ มีปัจจัยมากมายที่สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบได้ เช่น

  • แหล่งจ่ายน้ำ
  • การเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้อาคาร
  • ประเภทของวัสดุที่เก็บไว้และวิธีการจัดเก็บ
  • รวมถึงสภาพแวดล้อมภายในอาคาร

    ตัวอย่างของความแตกต่างในการใช้งานจากวัตถุประสงค์ของแต่ละมาตรฐาน

    เช่น ความแตกต่างระหว่างการตรวจสอบหัวสปริงเกลอร์กับอุปกรณ์สัญญาณเตือน:

  • NFPA 25 อนุญาตให้ตรวจสอบหัวสปริงเกลอร์จากระดับพื้นได้ และยกเว้นไม่ต้องตรวจสอบหัวสปริงเกลอร์ที่อยู่ในช่องเพดานหรือพื้นที่ปิดซ่อน
  • ในขณะที่ NFPA 72 ไม่มีข้อยกเว้นลักษณะนี้เลย และโดยทั่วไป วิธีการตรวจสอบของระบบสัญญาณเตือนไฟไหม้จะเหมือนกันทั้งในการตรวจรับครั้งแรกและการตรวจสอบตามรอบระยะเวลา

    การรายงานและการเก็บบันทึก (Reporting and Record Keeping)

    NFPA 25 และ NFPA 72 เหมือนกันในแง่ที่ว่าทั้งสองมาตรฐานกำหนดให้ต้องมีการจัดเก็บบันทึกของกิจกรรม ITM ทั้งหมด โดยมีข้อกำหนดคล้ายกันในการเก็บรักษาบันทึก ได้แก่

  • ต้องเก็บไว้ อย่างน้อย 1 ปีนับจากกิจกรรมตามกำหนดครั้งถัดไป

    อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดเกี่ยวกับ “รูปแบบของบันทึก” มีความแตกต่างกัน:

  • NFPA 25 ไม่ได้ระบุรูปแบบการรายงานที่ต้องใช้ และในภาคผนวก B เพียงให้คำแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับการจัดรูปแบบรายงาน รวมถึงแหล่งที่สามารถดาวน์โหลดฟอร์มตัวอย่าง เช่น AFSA (American Fire Sprinkler Association) ที่เว็บไซต์ firesprinkler.org
  • NFPA 72 มีข้อกำหนดที่ชัดเจนมากเกี่ยวกับรูปแบบของรายงาน โดยระบุว่า รายงานทุกฉบับต้องใช้แบบฟอร์มที่อยู่ในบทที่ 7 หรือมีเนื้อหาขั้นต่ำที่ตรงตามฟอร์มที่กำหนดไว้ในบทนั้น

    คุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน (Qualifications)

  • แม้ว่า NFPA 25 และ 72 จะใช้คำจำกัดความเดียวกันของคำว่า “ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม (qualified)”
  • แต่ NFPA 25 ไม่ได้ขยายความนิยามนี้เพิ่มเติมมากนัก ทำให้การตีความมีความยืดหยุ่นมากกว่า
  • สาเหตุหนึ่งคือ NFPA 25 คาดว่าเจ้าของอาคารหรือพนักงานของเจ้าของสามารถทำการตรวจสอบได้เองในหลายกรณี โดยเฉพาะงานที่ต้องทำบ่อย เช่น การตรวจสอบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน

    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การตรวจสอบวาล์วควบคุมของระบบเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ซึ่ง เชื่อว่าผู้ที่มีความสามารถทั่วไปสามารถฝึกอบรมเพื่อทำงานนี้ได้

    ในขณะที่

  • NFPA 72 มีข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติที่เฉพาะเจาะจงและซับซ้อนกว่า โดยแบ่งประเภทบุคลากรออกตามหน้าที่ ได้แก่
    • ผู้ตรวจสอบ (inspection personnel)
    • ผู้ทดสอบ (testing personnel)
    • ผู้ให้บริการซ่อมบำรุง (service personnel)

    ซึ่งแต่ละระดับต้องมีความรู้และการฝึกอบรมที่แตกต่างกัน โดยผู้ให้บริการต้องมีความรู้สูงสุด
และ ทั้งหมดต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ (Authority Having Jurisdiction – AHJ)    สุภาษิตโบราณว่าไว้ว่า “เรายังไม่รู้ ในสิ่งที่เราไม่รู้”

  • อย่าทำการคาดเดาโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน
  • อย่าคิดว่า “การตรวจสอบก็คือการตรวจสอบ” ไม่ว่าจะเป็นระบบหัวสปริงเกลอร์หรืออุปกรณ์สัญญาณเตือนไฟไหม้
    เพราะนั่นไม่ใช่ความจริง และการไม่เข้าใจความแตกต่างอาจเป็น ปัจจัยชี้ขาด ระหว่างความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจ

    การตรวจสอบ การทดสอบ และการบำรุงรักษา (ITM) ของระบบดับเพลิง เป็นฟังค์ชั่นที่เกี่ยวข้องกัน จึงต้องจัดให้มีกำหนดการการดำเนินการที่สอดคล้องกัน ITM ต้องทำโดยบุคคลที่มีความรู้ในการออกแบบ ติดตั้ง ตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา  มีความเข้าใจมาตรฐาน และมีประสบการณ์เพียงพอ เพื่อประกันว่าระบบดับเพลิงและอุปกรณ์มีความเชื่อถือได้ สามารถใช้ระงับการเกิดเพลิงไหม้ และจะสามารถจะใช้งานได้ตลอดเวลาที่เกิดเพลิงไหม้