Hazardous area classification

การกำหนดพื้นที่อันตราย

Article Hazardous Area Classification

การกำหนดพื้นที่อันตรายของโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการเกิดเพลิงไหม้และการระเบิด จากสารเคมี สารไวไฟ น้ำมัน  แก๊ส ไฟเบอร์ ฝุ่น หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า จนเป็นอันตรายหรือมีความเสี่ยงจะเป็นอันตรายต่อบุคคลและทรัพย์สิน จำเป็นต้องใด้รับการดูแล ควบคุม โดย กฎระเบียบ มาตรฐาน บทความทางเทคนิค และการออกแบบทางวิศวกรรม

    อุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นแหล่งที่ส่งหรือรับพลังงาน อาจจะก่อให้เกิดความร้อนหรือเกิดประกายไฟ จนทำให้เชื้อเพลิงบริเวณข้างเคียงเกิดเพลิงใหม้ได้ การควบคุมการออกแบบ การเลือก การติดตั้ง และการบำรุงรักษา จึงต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ประกายไฟหรือความร้อนออกมาสัมผัสกับเชื้อเพลิง

OSHA Publication 3073 นิยาม พื้นที่อันตราย (Hazardous Location)” ไว้ดังนี้:

    พื้นที่อันตรายหมายถึง พื้นที่ที่มีของเหลวไวไฟ ก๊าซหรือไอระเหยที่ติดไฟได้ หรือฝุ่นที่ติดไฟได้ อยู่ในปริมาณที่เพียงพอจนสามารถก่อให้เกิดการระเบิดหรือไฟไหม้ได้ ในพื้นที่เหล่านี้ ต้องใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบพิเศษและเทคนิคการติดตั้งเฉพาะเพื่อป้องกันความเป็นไปได้ในการระเบิดหรือไฟไหม้จากสารเหล่านี้

    องค์กรไฟฟ้าแห่งชาติ (NEC) และ องค์กรไฟฟ้าแคนาดา (CEC) ให้นิยามพื้นที่อันตรายไว้ดังนี้:

    พื้นที่ที่อาจมีความเสี่ยง (เช่น ไฟไหม้ การระเบิด ฯลฯ) เกิดขึ้นได้ภายใต้สภาพการทำงานปกติหรือผิดปกติ เนื่องจากมีสารก๊าซหรือไอระเหยไวไฟ ฝุ่นที่ติดไฟได้ หรือเส้นใย หรือฝุ่นผงที่จุดไฟได้อยู่ในบริเวณนั้น

    ความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้ใช้งานจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าจะถูกเลือก ติดตั้ง และใช้งานอย่างเหมาะสม เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างปลอดภัย

    อุตสาหกรรมหลากหลายประเภท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ป้องกันการระเบิดได้ ส่งผลให้มีการพัฒนาแนวคิดและเทคโนโลยีที่ช่วยให้อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องมือควบคุมให้สามารถใช้งานได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการระเบิด ความสนใจในอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ป้องกันการระเบิดไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ด้านอื่น ๆ เช่น การกำจัดของเสีย พื้นที่ฝังกลบ และการใช้ก๊าซชีวภาพอีกด้วย     

    การระเบิด (Explosion) หมายถึง ปฏิกิริยาอย่างเฉียบพลันซึ่งเกี่ยวข้องกับการสลายตัวทางกายภาพหรือเคมีอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ความดัน หรือทั้งสองอย่างพร้อมกัน

    ปฏิกิริยาที่พบมากที่สุดจะเกิดขึ้นระหว่างก๊าซ ไอระเหย หรือฝุ่นที่ติดไฟได้ กับออกซิเจนในอากาศโดยรอบ

โดยทั่วไปการระเบิดในบรรยากาศอากาศต้องมีองค์ประกอบพื้นฐาน3 อย่างพร้อมกันคือ:

  1. สารไวไฟ (Flammable substance)
    ต้องมีอยู่ในปริมาณที่เพียงพอในการสร้างส่วนผสมที่ติดไฟหรือระเบิดได้
  2. สารออกซิไดซ์ (Oxidizer)
    ต้องมีอยู่ในปริมาณที่เพียงพอเพื่อทำปฏิกิริยากับสารไวไฟและสร้างส่วนผสมที่ระเบิดได้ โดยทั่วไปคืออากาศ (O₂)
  3. แหล่งกำเนิดประกายไฟ (Source of ignition)
    ต้องมีประกายไฟหรือความร้อนสูงพอที่จะจุดระเบิดได้

การมีอยู่พร้อมกันของทั้งสามองค์ประกอบนี้เรียกว่า “สามเหลี่ยมแห่งการจุดระเบิด (Ignition Triangle)” หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง การระเบิดจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ทั้งสามต้องมีพร้อมกันจึงจะเกิดการระเบิดได้

    แผนภาพแสดงสามเหลี่ยมแห่งการจุดระเบิด

Article Hazardous Area Classification

เมื่อทั้งสามองค์ประกอบมารวมกันพร้อมกันในสภาวะที่เหมาะสม การระเบิดก็สามารถเกิดขึ้นได้

สารไวไฟ (Flammable Substance)

สารไวไฟสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้:

  • ก๊าซไวไฟ (Flammable Gas)
  • ของเหลว/ไอระเหยไวไฟ (Flammable Liquids/Vapors)
  • ของแข็งไวไฟ (Flammable Solids)
ประเภทสารไวไฟตัวอย่างคำอธิบาย
ของเหลว/ไอระเหยไวไฟไฮโดรคาร์บอน เช่น อีเทอร์, อะซิโตน, น้ำมันไฟแช็ก เป็นต้น– แม้ในอุณหภูมิห้อง สารเหล่านี้สามารถระเหยได้เพียงพอที่จะสร้างบรรยากาศที่อาจระเบิดได้ที่ผิวหน้า- ของเหลวบางชนิดต้องมีอุณหภูมิสูงกว่านี้จึงจะเกิดการระเหยได้เพียงพอ- จุดวาบไฟ (Flash Point) ของของเหลวไวไฟ คือ อุณหภูมิต่ำสุดที่ทำให้ของเหลวสามารถระเหยได้ในปริมาณพอเหมาะที่จะจุดติดไฟได้ในสภาวะห้องปฏิบัติการ- ของเหลวไวไฟที่มีจุดวาบไฟสูงถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าของเหลวที่มีจุดวาบไฟต่ำ
ของแข็งไวไฟฝุ่น เส้นใย และผงที่ลอยในอากาศ– ความเสี่ยงจากฝุ่นสะสมเป็นลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากก๊าซหรือไอระเหย- เมฆฝุ่นที่ไม่ถูกจุดติดไฟจะตกลงบนพื้นผิวใกล้เคียง หากไม่ถูกทำความสะอาด ฝุ่นเหล่านี้จะสะสมและกลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการจุดติดครั้งต่อไป- การระเบิดจากฝุ่นโดยทั่วไปเริ่มจากเมฆฝุ่นขนาดเล็กที่ติดไฟ ซึ่งความเสียหายเบื้องต้นอาจยังไม่รุนแรง- คลื่นความดัน ที่เกิดจากการระเบิดเบื้องต้นจะกระจายฝุ่นที่เกาะอยู่ตามพื้นผิวออกไปในอากาศ ทำให้เกิดเมฆฝุ่นขนาดใหญ่ซึ่งติดไฟต่อจากเปลวไฟลูกแรก- ด้วยวิธีนี้ การระเบิดเล็ก ๆ ครั้งแรกสามารถลุกลามจนกลายเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ และในบางกรณีอาจเกิดเป็น ลูกระเบิดต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละลูกมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • ก๊าซหรือไอระเหยไวไฟทุกชนิดมี ขีดจำกัดการติดไฟต่ำสุดและสูงสุด (Lower and Upper Flammability Limits) ที่เฉพาะเจาะจง
  • หากความเข้มข้นของสารอยู่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าขีดจำกัดเหล่านี้ แม้จะมีการจุดไฟ อาจเกิดการจุดติดได้ แต่เปลวไฟจะไม่ลุกลามต่อเนื่อง

    หากเมฆก๊าซหรือไอไวไฟถูกจุดติด ไอทั้งหมดย่อมถูกใช้หมดในการระเบิดเดียว แต่หากไม่ติดไฟ กระบวนการพาความร้อนและการแพร่กระจายจะค่อย ๆ กระจายเมฆออกไป ทำให้ความเสี่ยงลดลง และเชื้อเพลิงนั้นจะหายไป

หลักการกำหนด HAC (Hazardous Area Classification)

Article Hazardous Area Classification
  • พื้นฐาน หลักการกำหนดของ HAC
  • ขั้นตอนและการดำเนินงาน
  • การเลือกมาตรฐานและทีมงาน
  • การวาดแผนผัง HAC Contour ของความเข้มข้นของสารเชื้อเพลิงที่ปล่อยมาตามลักษณะของเชื้อเพลิงและระยะทาง
Article Hazardous Area Classification
Article Hazardous Area Classification

การคาดการณ์ การครอบคลุมของเชื้อเพลิงจากแหล่งที่คาดว่าจะรั่ว หรือปล่อยออกมา ครอบคลุมบริเวณในโรงงาน

Article Hazardous Area Classification
  • ประโยชน์ของวิธีการแบบอิงตามสถานการณ์ (Scenario-Based)
  • แนวทางการบำรุงรักษาเอกสาร HAC

การจัดประเภทพื้นที่อันตราย (Hazardous Area Classification – HAC) หรือที่รู้จักในชื่อ การจัดประเภทพื้นที่ไฟฟ้า (Electrical Area Classification – EAC) คือการระบุและจำแนกพื้นที่แบบ 3 มิติ (ภูมิภาค พื้นที่ หรือจุดใดจุดหนึ่ง) ภายในโรงงานที่มีการจัดการกับวัสดุไวไฟหรือวัสดุที่ติดไฟได้ เพื่อ ลดความเสี่ยงของการจุดติดไฟโดยไม่ได้ควบคุม จากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือพื้นผิวที่ร้อน ซึ่งอาจนำไปสู่ เพลิงไหม้หรือการระเบิด ที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ ทรัพย์สิน และอาจสูญเสียชีวิต

การนำ HAC ไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีผลต่อการออกแบบและการดำเนินงานในพื้นที่ที่อาจมีบรรยากาศที่ติดไฟได้ โดยจะมีการระบุและบันทึกตำแหน่งที่ต้องควบคุมแหล่งจุดติดไฟในระดับต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เคมี และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ใช้ ก๊าซไวไฟ ไอระเหยไวไฟ ของเหลวติดไฟได้ หรือฝุ่นที่ติดไฟได้

    การปฏิบัติเกี่ยวกับ HAC ที่ดูเหมือนซับซ้อนนี้ ได้รับการอธิบายไว้ในมาตรฐานและแนวทางระดับโลกหลายฉบับ แนวปฏิบัติหนึ่งซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1897 ในไฟฟ้มาตรฐานที่กำหนดของสหรัฐฯ ได้ใช้คำว่า “การจัดประเภทพื้นที่ไฟฟ้า” (Electrical Area Classification) และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “การจัดประเภทพื้นที่อันตราย” (Hazardous Area Classification – HAC) อย่างถูกต้อง เพราะวิธีการนี้มุ่งเน้นที่การระบุอันตรายจากการเกิดเพลิงไหม้หรือการระเบิดจากวัสดุในกระบวนการ และการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นผลลัพธ์รองที่ตามมาจากการจำแนกประเภทนั้น

    ปัจจุบันวิธีการนี้รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อHAC และได้รับการอธิบายโดยมาตรฐานต่างๆเช่น:

  • API (สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน)
  • NFPA (สมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติ)
  • CEC (รหัสไฟฟ้าของแคนาดา)
  • ATEX (คำสั่งของสหภาพยุโรป)
  • IEC (คณะกรรมการมาตรฐานสากลไฟฟ้า

แนวปฏิบัตินี้คำว่า “ติดไฟได้ (Flammable)” จะครอบคลุมถึง:

  • ก๊าซไวไฟ
  • ไอระเหยไวไฟ
  • ของเหลวที่ติดไฟได้ที่ถูกจัดการที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดวาบไฟ
  • ฝุ่นที่ติดไฟได้
  • เส้นใยที่สามารถติดไฟได้

    การออกแบบโรงงาน ท่อ และการจัดวางผังทั่วไป จะครอบคลุมในเอกสารมาตรการทางเทคนิคเรื่องการจัดวางโรงงาน มาตรฐานการออกแบบ – โรงงาน, มาตรฐานการออกแบบ – ท่อ, ขั้นตอนการดัดแปลง และเปลี่ยนแปลง และขั้นตอนการบำรุงรักษา

    กฎหมายว่าด้วยสารอันตรายและบรรยากาศที่อาจระเบิดได้ (DSEAR) ปี 2002 ได้กำหนดให้มีข้อกำหนดทางกฎหมายโดยตรงในการศึกษาพื้นที่อันตรายและจัดทำเอกสารผลการศึกษาในรูปแบบของ “โซน (Zones)”

 การจำแนกพื้นที่อันตรายสำหรับก๊าซและไอระเหยไวไฟ

การจำแนกพื้นที่สามารถทำได้โดยการเปรียบเทียบกับการติดตั้งตามมาตรฐานที่มีอยู่ หรือใช้วิธีเชิงปริมาณที่ต้องการความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการในโรงงาน จุดเริ่มต้นคือการระบุแหล่งที่อาจปล่อยก๊าซหรือไอระเหยไวไฟ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จาก:

  • การทำงานปกติที่เกิดตลอดเวลา
  • เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
  • หรือเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

ภายในอุปกรณ์กระบวนการเองก็อาจถือเป็นพื้นที่อันตรายได้ หากมีก๊าซ หรือไอระเหยและอากาศอยู่ร่วมกัน แม้จะไม่มีการปล่อยสารโดยตรง

    การผิดพลาด หรือล้มเหลวรุนแรง เช่น การแตกของถังหรือท่อ ไม่รวมอยู่ในการวิเคราะห์นี้ แต่ควรพิจารณาโดยกระบวนการวิเคราะห์อันตรายเบื้องต้น (PHA) หรือการศึกษาความเป็นไปได้ของอันตรายและการดำเนินงาน (HAZOP)

    มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในสหราชอาณาจักร คือ BS EN 60079 ส่วนที่ 10 ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างปริมาณของไอไวไฟที่ปล่อยออกมา การระบายอากาศ ณ จุดนั้น และหมายเลขโซน เอกสารฉบับนี้มีการคำนวณง่ายๆ เกี่ยวกับขนาดของโซนตามอัตราการปล่อยก๊าซ หรือไอระเหย แต่ไม่เหมาะกับของเหลว ซึ่งควบคุมโดยอัตราการระเหย

 แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่ใช้วิธีวิเคราะห์ที่ซับซ้อน ได้แก่:

  • Institute of Petroleum (IP) Model Code of Practice (2002) สำหรับโรงกลั่นและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
  • Institution of Gas Engineers (IGE) Safety Recommendations SR25 (2001) ซึ่งเน้นการขนส่ง การจัดเก็บ และการจ่ายก๊าซธรรมชาติ

การแบ่งโซน (Zoning)

    ตามกฎหมาย DSEAR “พื้นที่อันตราย” หมายถึง “สถานที่ใด ๆ ที่อาจเกิดบรรยากาศที่ระเบิดได้ในปริมาณที่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเพื่อความปลอดภัยของคนงานและทรัพย์สิน”
คำว่า “มาตรการป้องกันพิเศษ” หมายถึงการออกแบบ ติดตั้ง และใช้งานอุปกรณ์ตามมาตรฐาน BS EN 60079-10

    การจำแนกพื้นที่เป็นวิธีวิเคราะห์และจัดประเภทสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดบรรยากาศก๊าซไวไฟ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเลือกอุปกรณ์และติดตั้งให้เหมาะสมและปลอดภัย โดยคำนึงถึงคุณสมบัติของวัสดุไวไฟที่ใช้งาน

    DSEAR ยังขยายขอบเขตเพื่อรวมแหล่งกำเนิดการจุดติดไฟที่ไม่ใช่ไฟฟ้า และอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง

ประเภทโซนตามความถี่และระยะเวลาการเกิดบรรยากาศไวไฟ:

  • Zone 0: พื้นที่ที่มีบรรยากาศก๊าซไวไฟอยู่ตลอดเวลาหรือเป็นระยะเวลานาน
  • Zone 1: พื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดบรรยากาศก๊าซไวไฟภายใต้สภาวะการทำงานปกติ
  • Zone 2: พื้นที่ที่ไม่น่าจะเกิดบรรยากาศก๊าซไวไฟในสภาวะปกติ และหากเกิดขึ้นจะคงอยู่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ

ค่าประมาณระยะเวลา (ไม่ได้กำหนดเป็นมาตรฐาน):

  • Zone 0: มากกว่า 1000 ชั่วโมง/ปี
  • Zone 1: ระหว่าง 10 ถึง 1000 ชั่วโมง/ปี
  • Zone 2: น้อยกว่า 10 ชั่วโมง/ปี แต่ยังมีโอกาสเพียงพอที่ต้องควบคุมแหล่งกำเนิดการจุดติดไฟ

โครงสร้างการแบ่งโซน

Article Hazardous Area Classification

โดยมีรายละเอียดดังนี้

Article Hazardous Area Classification

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเวลา

Article Hazardous Area Classification

ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเวลา

Article Hazardous Area Classification

เมื่อจำแนกพื้นที่อันตรายของโรงงานเสร็จแล้ว ส่วนที่เหลือจะถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safe Area)

    การจำแนกโซนจะไม่พิจารณาถึงผลกระทบจากการรั่วไหล หากเป็นปัจจัยสำคัญ อาจมีการเพิ่มระดับของอุปกรณ์หรือควบคุมกิจกรรมในโซนนั้น ๆ แทนการขยายพื้นที่โซนอย่างอนุรักษ์นิยม ซึ่งอาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการเลือกอุปกรณ์

องค์ประกอบของการวิเคราะห์และจำแนกพื้นที่อันตราย

  • วัสดุไวไฟที่อาจมีอยู่
  • สมบัติทางกายภาพและลักษณะเฉพาะของวัสดุไวไฟแต่ละชนิด
  • แหล่งที่อาจปล่อยสารและวิธีการที่ทำให้เกิดบรรยากาศไวไฟ
  • อุณหภูมิและความดันในการปฏิบัติงาน
  • การระบายอากาศ (ตามธรรมชาติหรือบังคับ)
  • การกระจายตัวของไอให้ต่ำกว่าขีดจำกัดการติดไฟ
  • ความน่าจะเป็นของแต่ละสถานการณ์การรั่วไหล

ปัจจัยเหล่านี้ช่วยกำหนดประเภทโซนขอบเขตโซนและการเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม

รหัสของ IP ให้วิธีคำนวณอัตราการปล่อยจากรูขนาดเล็กภายใต้แรงดัน และอธิบายว่าความลอยตัวและโมเมนตัมของการปล่อยส่งผลต่อขอบเขตของโซนอย่างไร รวมถึงข้อมูลสำหรับ LPG, แก๊สโซลีน, ก๊าซธรรมชาติ และไฮโดรเจนจากโรงกลั่นที่แรงดันสูงถึง 100 บาร์

    รหัสของ IGE ใช้สำหรับก๊าซธรรมชาติ โดยสัมพันธ์ระหว่างอัตราการรั่วกับขนาดรูและแรงดันใช้งาน ตารางของระยะการกระจายใช้กับช่องระบายแรงดันขนาดใหญ่เป็นหลัก และแทบไม่ทับซ้อนกับ IP

การเลือกอุปกรณ์

DSEAR ระบุความสัมพันธ์ระหว่างโซนและอุปกรณ์ที่สามารถติดตั้งในโซนนั้น ซึ่งครอบคลุมการติดตั้งใหม่หรือที่มีการดัดแปลง อุปกรณ์จะแบ่งตามประเภทภายใต้ ATEX Directive ซึ่งกำหนดเป็นกฎหมายในสหราชอาณาจักรโดยระเบียบ The Equipment and Protective Systems for Use in Potentially Explosive Atmospheres Regulations 1996

    มาตรฐานต่าง ๆ กำหนดแนวคิดการป้องกัน (Protection Concepts) และมีการแบ่งย่อยเพิ่มเติมตามกลุ่มก๊าซและระดับอุณหภูมิ โดยมาตรฐานไฟฟ้ามีมานานและอยู่ในระดับสากล ในขณะที่มาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ใช้ไฟฟ้ากำลังพัฒนาจาก CEN

เอกสารACOP ของDSEAR ยังกล่าวถึงการใช้งานอุปกรณ์เดิม

Zone 0Zone 1Zone 2
Category 1Category 2Category 3
‘ia’ intrinsically safe
EN 50020, 2002
‘d’ – Flameproof enclosure
EN 50018 2000
Electrical
Type ‘n’ – EN 50021 1999
Non electrical
EN 13463-1, 2001
Ex s – Special protection if‘p’ – Pressurised
EN 50016 2002
specifically certified for Zone 0
‘q’ – Powder filling
EN 50017, 1998
‘o’ – Oil immersion
EN 50015, 1998
‘e’ – Increased safety
EN 50019, 2000
‘ib’ – Intrinsic safety
EN 50020, 2002
‘m’ – Encapsulation
EN 50028, 1987
‘s’ – Special protection

การเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างถูกต้องสำหรับพื้นที่อันตรายจำเป็นต้องใช้ข้อมูลดังต่อไปนี้:

Article Hazardous Area Classification
  • การจำแนกประเภทของพื้นที่อันตราย (ตามโซนที่แสดงไว้ในตารางก่อนหน้านี้)
  • ระดับอุณหภูมิ (Temperature Class) หรือ อุณหภูมิที่สามารถจุดติดไฟได้ของก๊าซหรือไอระเหย ที่เกี่ยวข้อง ตามตารางด้านล่าง
Temperature ClassificationMaximum Surface Temperature, °CIgnition Temperature of gas or vapour, °C
T1450>450
T2300>300
T3200>200
T4135>135
T5100>100
T685>85

สถานการณ์ทั่วไปที่อาจเกิดบรรยากาศระเบิดได้ได้แก่

  • การรั่วไหลหรือระบายของของเหลวหรือก๊าซไวไฟ
  • ฝุ่นติดไฟได้ที่ระบายออกสู่บรรยากาศ
  • อุณหภูมิสูงที่ทำให้วัสดุติดไฟได้ระเหยหรือกระจายตัว

การควบคุมแหล่งจุดติดไฟ

เพื่อป้องกันการระเบิดภายในพื้นที่อันตราย ต้องมีการควบคุมหรือลดแหล่งจุดติดไฟ โดยทั่วไปอาจรวมถึง

  • อุณหภูมิพื้นผิว (Surface temperature): อุปกรณ์ต้องมีอุณหภูมิพื้นผิวต่ำกว่าจุดติดไฟของบรรยากาศที่ติดไฟได้
  • ประกายไฟจากกลไก (Mechanical sparks): ต้องป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีหรือการกระแทกระหว่างโลหะที่อาจทำให้เกิดประกาย
  • ไฟฟ้าสถิต (Static electricity): ควรมีการต่อลงดินอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการสะสมของประจุไฟฟ้า
  • อุปกรณ์ไฟฟ้า (Electrical equipment): ต้องออกแบบให้ไม่สร้างประกายภายในพื้นที่อันตราย
  • กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า: การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจจำเป็นในบางกรณี

    การป้องกันการระเบิดของอุปกรณ์ (Explosion Protection)

    เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในพื้นที่อันตราย จึงต้องใช้วิธีการป้องกันการระเบิดที่ได้รับการออกแบบมาอย่างเหมาะสม วิธีหลัก ๆ ได้แก่:

การป้องกันในแต่ละโซน

Article Hazardous Area Classification
  • Ex d – การกันระเบิด (Flameproof enclosure): ตัวอุปกรณ์จะออกแบบให้สามารถทนต่อการระเบิดภายใน และป้องกันไม่ให้เปลวไฟภายในแผ่กระจายออกไปภายนอก
  • Ex e – การป้องกันความปลอดภัยเพิ่ม (Increased safety): อุปกรณ์ออกแบบให้ไม่เกิดประกายหรือความร้อนสูงผิดปกติ
  • Ex i – วงจรนิรภัย (Intrinsic safety): จำกัดพลังงานไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่สามารถทำให้เกิดการติดไฟได้
  • Ex p – การกดดันบวก (Pressurization): ใช้ก๊าซเฉื่อยหรืออากาศสะอาดกดดันภายในตู้ควบคุมเพื่อป้องกันบรรยากาศติดไฟจากภายนอกเข้าสู่ภายใน
  • Ex n – การป้องกันพื้นฐาน (Non-sparking): ใช้กับพื้นที่อันตรายที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ

การระเบิดของฝุ่น (Dust Explosions)

    ฝุ่นที่ติดไฟได้ เช่น แป้ง แป้งไม้ น้ำตาล หรือโลหะบางชนิด อาจระเบิดได้เมื่อเกิดการฟุ้งกระจายในอากาศภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม

  • ความเข้มข้นของฝุ่นในอากาศอยู่ในช่วงที่ติดไฟได้
  • ฝุ่นต้องละเอียดพอที่จะฟุ้งกระจายได้ดี
  • มีแหล่งจุดติดไฟ เช่น ประกายไฟหรือความร้อนสูง

มาตรการควบคุมฝุ่นมักรวมถึง:

  • การระบายฝุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การติดตั้งตัวแยกฝุ่นหรือกรองฝุ่น
  • ระบบตรวจจับและระบายแรงดันในกรณีที่เกิดการระเบิด

มาตรฐานอุปกรณ์และการรับรอง (Equipment Standards and Certification)

อุปกรณ์ที่ใช้ในพื้นที่อันตรายต้องผ่านการทดสอบและรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น

  • ATEX (EU) – ตามระเบียบ 2014/34/EU ของสหภาพยุโรป
  • IECEx (International) – ระบบรับรองที่ดำเนินการโดย IEC
  • UKEX (UK) – ระบบที่ใช้ในสหราชอาณาจักรหลัง Brexit
  • UL/CSA (North America) – ใช้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ฉลากของอุปกรณ์ต้องแสดงข้อมูลที่จำเป็น เช่น ประเภทของการป้องกัน (Ex d, Ex i เป็นต้น), โซนที่อนุญาตให้ใช้ (Zone 1, 2 หรือ Zone 21, 22) และระดับอุณหภูมิสูงสุดที่อุปกรณ์สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย

    การจำแนกพื้นที่อันตราย (Hazardous Area Classification: HAC) เพื่อการลดโอกาสที่บรรยากาศที่ระเบิดได้หรือไวไฟจะสัมผัสกับแหล่งจุดติดไฟ

วิธีการบรรลุเป้าหมายนี้ ได้แก่

  • การประเมินความเสี่ยงของอัคคีภัยและการระเบิดในและรอบ ๆ สถานที่ติดตั้งและโรงงานที่เกี่ยวข้องกับของเหลวไวไฟ ไอระเหย ก๊าซ และฝุ่นที่ติดไฟได้
  • การกำหนดเขต (Zone) ที่คาดว่าจะมีบรรยากาศที่ระเบิดได้ รวมถึงการกำหนดขนาดและลักษณะการติดไฟของบรรยากาศเหล่านั้น
  • การจัดประเภทของระดับการป้องกันแหล่งจุดติดไฟขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับอุปกรณ์ที่ติดตั้งหรือใช้งานในพื้นที่อันตราย เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากอัคคีภัยหรือการระเบิด

การจำแนกพื้นที่อันตราย

    พื้นที่อันตรายคือพื้นที่ (ในลักษณะ 3 มิติ) ที่มีหรือคาดว่าจะมีบรรยากาศที่ระเบิดได้หรือไวไฟในปริมาณที่ต้องมีการควบคุมแหล่งจุดติดไฟเพื่อจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น ไฟไหม้หรือการระเบิด

    อัคคีภัยและการระเบิดอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น การเสียชีวิต การบาดเจ็บสาหัส หรือการสูญเสียทางธุรกิจ

    ด้วยเหตุนี้ กฎหมายด้านความปลอดภัยไฟฟ้าและความปลอดภัยในการทำงานจึงกำหนดหน้าที่รับผิดชอบ (duty of care) แก่ผู้ดำเนินกิจการหรือผู้ประกอบการ (Person Conducting a Business or Undertaking: PCBU)

การจำแนกพื้นที่อันตรายสามารถทำได้โดย

  • การเปรียบเทียบโดยตรงกับการติดตั้งตามแบบที่ระบุไว้ในมาตรฐานที่ยอมรับทั่วไป
  • วิธีการเชิงปริมาณที่ต้องใช้ความรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโรงงานหรือกระบวนการ ซึ่งอาจรวมถึงการวิเคราะห์อันตรเบื้องต้น (Preliminary Hazard Analysis: PHA) การศึกษาความเป็นอันตรายและการปฏิบัติการ (Hazard and Operability Study: HAZOP) และการคำนวณโดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองเฉพาะทาง

    การจำแนกพื้นที่อันตรายต้องมีข้อมูลแทนค่าที่เหมาะสมเกี่ยวกับคุณสมบัติการระเบิดของสารไวไฟที่เกี่ยวข้อง เช่น แผ่นข้อมูลความปลอดภัยของผู้ผลิต (Safety Data Sheets: SDS)

    หากเกี่ยวข้องกับฝุ่นที่ติดไฟได้ อาจจำเป็นต้องทดสอบเพิ่มเติมเพื่อระบุคุณสมบัติการระเบิดของฝุ่น เช่น ขนาดอนุภาคและองค์ประกอบทางเคมี

ขั้นตอนแรกของการควบคุมความเสี่ยง คือ การดำเนินการจำแนกพื้นที่อันตราย เพื่อระบุว่าบรรยากาศที่ติดไฟอาจมีอยู่ที่ใด และดำเนินการกำจัดหรือควบคุมแหล่งจุดติดไฟที่อาจเกิดขึ้น

ผู้ที่ทำการจำแนกพื้นที่อันตรายต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

แนวปฏิบัติ (Code of Practice 2021) เรื่อง การจัดการความเสี่ยงของสารเคมีอันตรายในที่ทำงาน อ้างถึงมาตรฐานออสเตรเลียดังต่อไปนี้ สำหรับการจำแนกพื้นที่อันตราย

  • AS/NZS 60079.10.1 บรรยากาศที่ระเบิดได้ – การจำแนกพื้นที่: บรรยากาศก๊าซที่ระเบิดได้
  • AS/NZS 60079.10.2 บรรยากาศที่ระเบิดได้ – การจำแนกพื้นที่: บรรยากาศฝุ่นที่ระเบิดได้

เอกสาร HAC ถือเป็นเอกสารที่ต้องมีการปรับปรุงอยู่เสมอ

ควรใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในกรณีต่างๆได้แก่

  • การติดตั้งใหม่
  • การปฐมนิเทศผู้เข้าไซต์
  • การประเมินการเปลี่ยนแปลง
  • การตรวจสอบ การบำรุงรักษา และการซ่อมแซม

นอกจากนี้ควรมีการประเมินทบทวนเป็นระยะ ๆ ด้วย

กฎข้อบังคับด้านความปลอดภัยไฟฟ้าปี2013 (Electrical Safety Regulation 2013) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเชื่อมหรือเชื่อมต่อใหม่ของการติดตั้งหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่อันตรายกับแหล่งจ่ายไฟ ซึ่งรวมถึงข้อกำหนดที่การติดตั้งนั้นต้องได้รับการรับรองโดยผู้ตรวจสอบพื้นที่อันตรายที่ได้รับการรับรอง (Hazardous Area Auditor) โดยสำนักงานความปลอดภัยไฟฟ้าจะดูแลรายชื่อผู้ตรวจสอบเหล่านี้

ผู้ตรวจสอบพื้นที่อันตรายที่ได้รับการรับรองต้องมีความเป็นอิสระจาก

  1. การออกแบบการจำแนกพื้นที่อันตราย
  2. การจำแนกพื้นที่อันตราย
  3. การออกแบบระบบไฟฟ้าในพื้นที่อันตราย (รวมถึงการเลือก/ระบุอุปกรณ์ไฟฟ้า)

IEC and ATEX Standards

พื้นที่อันตราย (Hazardous Area) ถูกกำหนดโดยเกณฑ์หลัก 3 ประการ ได้แก่

  • ประเภทของอันตราย (Groups)
  • อุณหภูมิที่ทำให้วัตถุไวไฟติดไฟได้เอง (Auto-ignition Temperature หรือระดับอุณหภูมิ “T”)
  • ความน่าจะเป็นที่สารอันตรายจะปรากฏในความเข้มข้นที่สามารถติดไฟได้ (Zones)

ประเภทของอันตราย (Type of Hazard)

    ประเภทของอันตรายจะอยู่ในรูปของก๊าซหรือไอระเหย, ฝุ่น หรือเส้นใย

    การจัดประเภทของโซนอันตรายเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ขึ้นอยู่กับว่าการติดตั้งนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ใต้ดินหรืออุตสาหกรรมบนพื้นผิว ดังนี้:

  • กลุ่ม I (Group I) – อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในเหมืองแร่และสถานที่ใต้ดินที่อาจมีการสะสมของก๊าซมีเทน (firedamp)
  • กลุ่ม II และกลุ่ม III (Group II and Group III) – อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในสถานที่ติดตั้งบนพื้นผิว

กลุ่ม II และ III ยังถูกแบ่งย่อยเพิ่มเติมตามลักษณะของอันตราย:

  • กลุ่ม II (Group II) – ก๊าซจะถูกจัดกลุ่มตามพลังงานที่จำเป็นในการจุดระเบิดส่วนผสมที่ติดไฟได้มากที่สุดระหว่างก๊าซกับอากาศ
  • กลุ่ม III (Group III) – ฝุ่นจะถูกแบ่งย่อยตามลักษณะของบรรยากาศที่อาจเกิดการระเบิด ซึ่งอุปกรณ์นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมดังกล่าว
MiningSurface Industry
Group IGroup IIGroup III
Electrical equipment for mines susceptible to firedampElectrical equipment for places with an explosive gas atmosphereElectrical equipment for places with an explosive dust atmosphere
Sub-DivisionIgnition EnergySub-DivisionExplosive Atmosphere
IIA260 MicrojoulesIIIACombustible flyings
IIB95 MicrojoulesIIIBNon-conductive dust
IIC18 MicrojoulesIIICConductive dust

 อุณหภูมิจุดติดไฟอัตโนมัติ หรือ “การจัดอันดับ T” (T Rating)

ระดับอันตรายของก๊าซจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่กลุ่มก๊าซ IIA ไปจนถึง IIC โดยกลุ่ม IIC เป็นกลุ่มที่มีความรุนแรงสูงสุด สารในกลุ่มนี้สามารถติดไฟได้ง่ายมาก โดยที่ไฮโดรเจนเป็นสารที่มีความเสี่ยงต่อการติดไฟสูงที่สุด การจัดอันดับอุณหภูมิหรือตาราง “T-Class Rating” นี้จะอ้างอิงจากอุณหภูมิจุดติดไฟอัตโนมัติของก๊าซ ซึ่งรายละเอียดมีดังนี้

กลุ่มก๊าซคลาสอุณหภูมิ
T1
Iมีเทน (Methane)
IIAอะซีโตน (Acetone), เอทานอล (Ethanol), ดีเซล (Diesel Fuel), อะเซทัลดีไฮด์ (Acetaldehyde)
มีเทน, ไซโคลเฮกเซน (Cyclohexane), น้ำมันเครื่องบิน (Aircraft Fuel)
เอเทน (Ethane), โพรพานอล 2 (Propanol 2), น้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Oil)
เบนซีน (Benzene), เอ็น-บิวทิลแอลกอฮอล์ (N-Butyl Alcohol), เอ็น-เฮกเซน (N-Hexane)
เมทานอล (Methanol), เอ็น-บิวเทน (N-Butane), เฮปเทน (Heptane)
โตลูอีน (Toluene), น้ำมันก๊าด (Kerosene)
โพรเพน (Propane)
กรดอะซิติก (Acetic Acid)
แอมโมเนีย (Ammonia)
IIBก๊าซถ่านหิน (Coal Gas), เอทิลีนไกลคอล (Ethylene Glycol), เอทิลเมทิลอีเทอร์ (Ethyl Methyl Ether)
เอทิลีนออกไซด์ (Ethylene Oxide), ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen Sulphide)
โพรพานอล 1 (Propanol 1), เททร้าไฮโดรฟูราน (Tetrahydrofuran)
เมทิลเอทิลคีโตน (Methyl Ethyl Ketone)
IICไฮโดรเจน (Hydrogen), อะเซทิลีน (Acetylene)

การจัดอันดับคลาสอุณหภูมิสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้ากลุ่มII

รหัส Tอุณหภูมิพื้นผิวสูงสุดอุณหภูมิติดไฟ
T1450ºC> 450ºC
T2300ºC> 300ºC ≤ 450ºC
T3200ºC> 200ºC ≤ 300ºC
T4130ºC> 130ºC ≤ 200ºC
T5100ºC> 100ºC ≤ 135ºC
T685ºC> 85ºC ≤ 100ºC

ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ในสถานที่นั้นจะต้องได้รับการจัดอันดับ “T” ที่เหมาะสมเพื่อรักษาความปลอดภัย เช่น ถ้าแก๊สที่เป็นอันตรายคือไฮโดรเจน อุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ต้องมีอันดับ “T6” หมายความว่าอุปกรณ์ทั้งหมดต้องมีอุณหภูมิพื้นผิวไม่เกิน 85°C อุปกรณ์ใดที่สร้างความร้อนสูงกว่า 85°C จะไม่สามารถใช้ได้ เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการระเบิดจากการจุดติดไฟของไฮโดรเจนในบรรยากาศ

    กลุ่มอุปกรณ์และคลาสอุณหภูมิสำหรับฝุ่นและเส้นใยไวไฟทั่วไป – กลุ่ม III
    เมื่อพิจารณาสถานที่เสี่ยงต่อการระเบิดจากฝุ่นที่ติดไฟได้ อุปกรณ์ที่ใช้จะถูกจัดประเภทในลักษณะเดียวกับก๊าซ อุปกรณ์ใดที่มีอุณหภูมิพื้นผิวสูงกว่าอุณหภูมิจุดติดไฟของอันตรายนั้นจะไม่ควรติดตั้ง ด้านล่างนี้คือตัวอย่างของฝุ่นที่เป็นอันตรายและอุณหภูมิจุดติดไฟขั้นต่ำของแต่ละชนิด

อุณหภูมิจุดติดไฟสำหรับฝุ่นและเส้นใยไวไฟทั่วไป

วัสดุจุดติดไฟ (Cloud)จุดติดไฟ (Layer)
ฝุ่นถ่านหิน380°C225°C
โพลิเอทิลีน420°C(ละลาย)
เมทิลเซลลูโลส420°C320°C
   
แป้ง460°C435°C
แป้งสาลี490°C340°C
น้ำตาล490°C460°C
ฝุ่นธัญพืช510°C300°C
เรซินฟีนอลิก530°C> 450°C
อะลูมิเนียม590°C> 450°C
พีวีซี700°C> 450°C
เขม่า810°C570°C

ความน่าจะเป็นของอันตราย

    ความน่าจะเป็นที่อันตรายจะปรากฏในความเข้มข้นที่สูงพอทำให้เกิดการจุดติดไฟนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ สำหรับสถานที่ส่วนใหญ่ความเสี่ยงนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อันตราย (ก๊าซ, ไอ, ฝุ่น หรือเส้นใย) ปรากฏอยู่ เพื่อที่จะจัดประเภทความเสี่ยงนี้ สถานที่จะถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่เสี่ยงตามระยะเวลาที่อันตรายปรากฏอยู่ พื้นที่เหล่านี้เรียกว่า “โซน” โดยสำหรับก๊าซ ไอ ฝุ่น และเส้นใย จะมี 3 โซนคือ

ZONE 0 | ZONE 1 | ZONE 2

Gas GroupTemperature Class
T1T2T3T4T5T6
IMethane
IIAAcetoneEthanolDiesel FuelAcetaldehyde
MethaneCyclohexaneAircraft Fuel
EthanePropanol 2Fuel Oil
BenzeneN-Butyl AlcoholN-Hexane
MethanolN-ButaneHeptane
TolueneKerosene
Propane
Acetic Acid
Ammonia
IIB



Coal GasEthylene GlycolEthyl Methyl Ether
Ethylene OxideHydrogen Sulphide
Propanol 1Tetrahydrofuran
Methyl Ethyl Ketone
IICHydrogenAcetylene

Temperature Class Rating for Group II Electrical Apparatus

Group II Temperature Class
T CodeMaximum Surface TemperatureIgnition Temperature
T1450ºC > 450ºC
T2300ºC> 300ºC ≤ 450ºC
T3200ºC> 200ºC ≤ 300ºC
T4130ºC> 130ºC ≤ 200ºC
T5100ºC> 100ºC ≤ 135ºC
T685ºC > 85ºC ≤ 100ºC

หากมีอันตรายเกิดขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ภายในสถานที่จะต้องได้รับการจัดอันดับ “T” ที่เหมาะสมเพื่อรักษาความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของระบบ เช่น หากก๊าซที่เป็นอันตรายคือไฮโดรเจน อุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้จะต้องได้รับการจัดอันดับ “T6” ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ในพื้นที่อันตรายทั้งหมดต้องไม่มียอดอุณหภูมิพื้นผิวสูงกว่า 85°C อุปกรณ์ใดที่สามารถสร้างอุณหภูมิพื้นผิวสูงกว่า 85°C จะไม่สามารถใช้ได้ เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการระเบิดจากการจุดติดไฟของไฮโดรเจนในบรรยากาศ

กลุ่มอุปกรณ์และคลาสอุณหภูมิสำหรับฝุ่นและเส้นใยไวไฟทั่วไป – กลุ่ม III
เมื่อพิจารณาการติดตั้งที่มีความเสี่ยงต่อการระเบิดเนื่องจากการจุดติดไฟของฝุ่น อุปกรณ์ที่ใช้จะถูกจัดประเภทในลักษณะเดียวกับก๊าซ โดยไม่ควรติดตั้งอุปกรณ์ใด ๆ ที่มีอุณหภูมิพื้นผิวสูงกว่าอุณหภูมิจุดติดไฟของอันตรายนั้น ด้านล่างนี้คือรายการของฝุ่นที่เป็นอันตรายและอุณหภูมิจุดติดไฟขั้นต่ำของแต่ละชนิด

Ignition Temperatures for Common Flammable Dusts and Fibers
MaterialIgnition Temperature
CloudLayer
Coal Dust380°C225°C
Polythene420°C(melts)
Methyl Cellulose420°C320°C
Starch460°C435°C
Flour490°C340°C
Sugar490°C460°C
Grain Dust510°C300°C
Phenolic Resin530°C> 450°C
Aluminium590°C> 450°C
PVC700°C> 450°C
Soot810°C570°C

ความน่าจะเป็นของอันตราย

ความน่าจะเป็นที่อันตรายจะเกิดขึ้นในความเข้มข้นที่สูงพอจนก่อให้เกิดการจุดติดไฟนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ สำหรับการติดตั้งส่วนใหญ่ ความเสี่ยงนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อันตราย (ก๊าซ, ไอระเหย, ฝุ่น หรือเส้นใย) อยู่ในบริเวณนั้น

    เพื่อที่จะจำแนกความอันตรายนี้ การติดตั้งจะถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อันตรายปรากฏในพื้นที่เหล่านั้น พื้นที่เหล่านี้เรียกว่า “โซน” สำหรับก๊าซ ไอระเหย ฝุ่น และเส้นใย จะมีทั้งหมด 3 โซน คือ โซน 0 | โซน 1 | โซน 2

GasDustHazardous Area Zone Characteristics
Zone 0Zone 20A hazardous atmosphere is highly likely to be present and may be present for long periods of time (>1000 hours per year) or even continuously
Zone 1Zone 21A hazardous atmosphere is possible but unlikely to be present for long periods of time (>10 <1000 hours per year)
Zone 2Zone 22A hazardous atmosphere is not likely to be present in normal operation or infrequently and for short periods of time (<10 hours per year)

แนวคิดการป้องกันการระเบิด
มีอุปกรณ์หลายประเภทที่สามารถนำมาใช้ในโซนพื้นที่อันตรายเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระเบิดจะถูกกำจัดหรือถูกลดให้น้อยที่สุด อุปกรณ์เหล่านี้จะต้องได้รับการออกแบบและผลิตตามข้อกำหนดการก่อสร้างเฉพาะที่เรียกว่าแนวคิดการป้องกัน (protection concepts) โดยทั่วไปแนวคิดเหล่านี้จะอยู่ภายใต้ 4 วิธีหลัก ซึ่งวิธีเหล่านี้จะถูกอธิบายไว้ด้านล่าง พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ ของแนวคิดบางอย่าง

Type of Explosion Protection MethodEquipment CodeDescriptionInternational StandardSuitable for Zones
Intended to prevent a potential ignition arisingEx eIncreased safetyIEC 60079-71, 2
Ex nAType -n protectionIEC 60079-152
Intended to limit the ignition energy of the equipmentEx iaIntrinsic safety ‘ia’IEC 60079-110, 1, 2
Ex ibIntrinsic safety ‘ib’IEC 60079-111, 2
Ex icIntrinsic Safety ‘ic’IEC 60079-112
Ex nLType -n protectionIEC 60079-152
Intended to prevent the explosive atmosphere contacting the ignition sourceEx pPurge/pressurized protectionIEC 60079-21, 2
Ex pxPurge/pressurized protection ‘px’IEC 60079-21, 2
Ex pyPurge/pressurized protection ‘py’IEC 60079-21, 2
Ex pzPurge/pressurized protection ‘pz’IEC 60079-22
Ex mEncapsulationIEC 60079-181, 2
Ex maEncapsulationIEC 60079-180, 1, 2
Ex mbEncapsulationIEC 60079-181, 2
Ex oOil immersionIEC 60079-181, 2
Ex nRType -n protectionIEC 60079-152
Intended to prevent an ignition from escaping outside the equipmentEx dFlameproof protectionIEC 60079-11, 2
Ex qSand / powder (quartz) fi llingIEC 60079-51, 2
Ex nCType -n protectionIEC 60079-152
SpecialEx sSpecial protectionSee IEC 60079-00, 1, 2

Ex i Intrinsic Safety (ความปลอดภัยโดยเนื้อแท้)
Ex i เป็นแนวคิดการป้องกันการระเบิดโดยการจำกัดพลังงานไฟฟ้าภายในอุปกรณ์ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่จะทำให้เกิดการจุดระเบิดหรือจำกัดความร้อนของพื้นผิวอุปกรณ์ในพื้นที่อันตรายได้ มีสองประเภทหลักของการป้องกัน Ex i คือ “ia” และ “ib” โดยประเภท “ia” อนุญาตให้เกิดข้อผิดพลาดได้สองครั้งในระหว่างการใช้งาน ขณะที่ประเภท “ib” อนุญาตให้เกิดข้อผิดพลาดได้ครั้งเดียวในระหว่างการใช้งาน

    Ex d Flameproof (กันระเบิดแบบกันไฟ)
    อุปกรณ์ที่อาจทำให้เกิดการระเบิดจะถูกบรรจุในกล่องหุ้มที่สามารถทนทานแรงระเบิดและป้องกันการถ่ายเทระเบิดออกไปยังบรรยากาศภายนอกที่เป็นอันตราย วิธีการ Ex d flameproof ยังป้องกันไม่ให้บรรยากาศอันตรายเข้าสู่กล่องหุ้มและสัมผัสกับอุปกรณ์ภายใน

    Ex m Encapsulation (การหุ้มด้วยสารเคลือบ)
    Ex m เป็นแนวคิดการป้องกันการระเบิดที่อุปกรณ์ซึ่งอาจทำให้เกิดการจุดระเบิดจะถูกหุ้มไว้ด้วยสารประกอบหรือเรซินเพื่อป้องกันการสัมผัสกับบรรยากาศระเบิด แนวคิดนี้ยังช่วยจำกัดอุณหภูมิผิวของอุปกรณ์ในสภาวะการทำงานปกติ

    Ex e Increased Safety (ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น)
    Ex e เป็นแนวคิดการป้องกันการระเบิดที่นำไปใช้กับการติดตั้งเพื่อเพิ่มความปลอดภัยจากความเป็นไปได้ของอุณหภูมิสูงเกินไปและประกายไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่อันตราย อุปกรณ์ที่ปกติจะก่อให้เกิดประกายไฟจะถูกห้ามใช้ในวิธีการป้องกันนี้

    Ex p Pressurised (การใช้แรงดัน)
    กระบวนการหนึ่งทำให้แรงดันภายในกล่องหุ้ม Ex p มีความเพียงพอที่จะป้องกันการเข้าสู่ของก๊าซไวไฟ ไอระเหย ฝุ่น หรือเส้นใย และป้องกันการจุดระเบิด อีกกระบวนการหนึ่งรักษาการไหลของอากาศ (หรือก๊าซเฉื่อย) อย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเข้มข้นของบรรยากาศที่อาจระเบิดได้

    Ex o Oil Immersion (การแช่น้ำมัน)
    อุปกรณ์ทั้งหมดที่มีโอกาสเกิดประกายไฟและทำให้เกิดการจุดระเบิดจะถูกแช่ในของเหลวหรือ น้ำมันที่ใช้เป็นฉนวนเพื่อป้องกันการจุดระเบิด

    Ex q Powder Filling (การเติมผง)
    อุปกรณ์ทั้งหมดที่อาจเกิดประกายไฟจะถูกบรรจุในกล่องที่เต็มไปด้วยผงควอตซ์หรือผงแก้ว ซึ่งผงนี้จะช่วยป้องกันการจุดระเบิดได้

    Ex n Non – Sparking (ไม่ก่อประกายไฟ)
    เป็นวิธีป้องกันการระเบิดที่มีการป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่อันตรายที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟสามารถจุดระเบิดบรรยากาศรอบข้างได้ วิธีนี้แบ่งออกเป็นประเภทย่อยดังนี้:

  • Ex nA – อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบไม่มีการก่อประกายไฟ
  • Ex nC – อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบไม่มีการเกิดประกายไฟชนิดที่ทำให้เกิดไฟไหม้
  • Ex nR – อุปกรณ์ที่ใช้ถูกปิดแน่นเพื่อจำกัดการหายใจและป้องกันการจุดระเบิด
  • Ex nL – อุปกรณ์ที่ใช้ไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการจุดระเบิด

Ex s Special (พิเศษ)

วิธีนี้ตามชื่อคือไม่มีพารามิเตอร์หรือข้อกำหนดการก่อสร้างเฉพาะเจาะจง แท้จริงแล้วคือวิธีใด ๆ ที่ให้ความปลอดภัยในระดับที่กำหนดเพื่อป้องกันการจุดระเบิดได้อย่างแน่นอน จึงไม่ได้อยู่ภายใต้วิธีการป้องกันเฉพาะเจาะจงใด ๆ และอาจเป็นการผสมผสานของหลายวิธี

การป้องกันการเข้าสู่ (Ingress Protection)

อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาในการปกป้องอุปกรณ์ในพื้นที่อันตราย คือการป้องกันการเข้าสู่ของวัตถุแข็งและน้ำ ซึ่งเรียกว่า ระดับการป้องกันการเข้าสู่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ รหัส IP (IP Code) มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับระดับการป้องกันนี้คือ IEC 60529 ซึ่งจะมีรายละเอียดสรุปเกี่ยวกับรหัส IP ในมาตรฐานนี้ด้านล่าง

1st NumeralDegree of Protection2nd NumeralDegree of Protection
0No protection at all against solid objects0No protection at all against the ingress of water
1Protection against solid objects greater than 50 mm in diameter1Protected against falling water drops
2Protection against solid objects greater than 12.5 mm in diameter2Protected against falling water drops at an angle of up to 15°
3Protection against solid objects greater than 2.5 mm in diameter3Protected against sprayed water at an angle of up to 60°
4Protection against solid objects greater than 1.0 mm in diameter4Protected against the splashing of water from any direction
5Protected against the ingress of dust in such an amount that it will not interfere with the operation of the equipment5Protected against water jets from any direction
6Total protection against the ingress of any dust6Protected against powerful water jets from any direction
7Protected against the ingress of water when temporary  immersed between 0.15 m and 1 m
8Protected against the ingress of water when continuously
immersed to a specified depth

อุณหภูมิการทำงาน (Operational Temperatures)

ระบบป้องกัน

Article Hazardous Area Classification

การทำเครื่องหมายอุปกรณ์ในพื้นที่อันตราย (Marking of Hazardous Area Equipment)

อุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้ในพื้นที่อันตรายต้องมีการทำเครื่องหมายตามที่ระบุไว้ในมาตรฐาน IEC 60079-0 โดยทั่วไป ข้อมูลที่ควรมีการทำเครื่องหมาย ได้แก่

  • ชื่อและที่อยู่ของบริษัท/ผู้ผลิต
  • หมายเลขใบรับรองสำหรับพื้นที่อันตราย
  • แนวคิดการป้องกัน (Protection concept) และกลุ่มก๊าซ (Gas group)
  • คลาสอุณหภูมิ (Temperature class)
  • ช่วงอุณหภูมิแวดล้อม (Ambient temperature range)
  • รหัสหรือชื่อผลิตภัณฑ์ (Product identification)
  • หมายเลขซีเรียลและปีที่ผลิต (Serial number and year of manufacture)
  • พารามิเตอร์ไฟฟ้า (Electrical parameters)
  • เครื่องหมาย CE และหมายเลข Body ID ของ ATEX ที่แจ้ง (CE marking and ATEX notified Body ID number)
  • รหัส ATEX และรหัส IP (ATEX coding – IP code)

                         การระบุระหัสอุปกรณ์ป้องกันระเบิดของ ATEX

Article Hazardous Area Classification
Article Hazardous Area Classification

การจัดประเภทพื้นที่อันตราย (Hazardous Area Classification)

มาตรฐานอเมริกาเหนือ (North American Standards)
ในงานติดตั้งระบบในอเมริกาเหนือ พื้นที่อันตรายจะถูกกำหนดโดยใช้ระบบแบ่งเป็น Class (ชั้น), Division (ส่วน), และ Group (กลุ่ม) เพื่อจัดระดับความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับอุปกรณ์ที่ติดตั้งในพื้นที่นั้น ๆ

  • Class จะกำหนดประเภทของอันตรายว่าเป็นก๊าซหรือไอระเหย, ฝุ่นที่ติดไฟหรือฝุ่นที่นำไฟฟ้าได้, หรือเส้นใยที่ติดไฟได้หรือเส้นใยที่ลอยอยู่ในอากาศ
  • Division จะบ่งบอกความน่าจะเป็นของการมีอยู่ของอันตรายทั้งในสภาวะปกติและผิดปกติ
  • Group จะจัดประเภทและลักษณะเฉพาะของสารอันตรายนั้น ๆ

Classes

ClassDefinition
IA location in which a flammable gas or vapour is or may be present in sufficient quantity to cause an explosive atmosphere
IIA location in which a conductive or combustible dust is or may be present in sufficient quantity to cause a fi re or an explosive hazard
IIIA location in which easily ignitable fibres or flyings are present in sufficient quantity to present a serious risk of fire

Classes

ClassDefinition
1The defined hazard is present during normal operational conditions
2The defined hazard is present only during abnormal conditions such as equipment failure

Groups

Article Hazardous Area Classification
ClassRepresentative Hazard
AAcetylene
BHydrogen
Ethylene
DPropane
EMetal Dust
FCoal Dust
GGrain Dust

การทำเครื่องหมายอุปกรณ์ในพื้นที่อันตราย (Marking of Hazardous Location Equipment)
    การทำเครื่องหมายบนอุปกรณ์ที่ใช้ในพื้นที่อันตรายจะแตกต่างกันไปตามข้อกำหนดของรหัสไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปแล้วอุปกรณ์ควรมีการทำเครื่องหมายดังนี้

  • ชื่อบริษัท/ผู้ผลิต
  • Class I, II และ/หรือ III
  • Division 1 และ/หรือ 2
  • Group A, B, C, D, E, F และ/หรือ G
  • โลโก้ของหน่วยทดสอบรับรองที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ (NRTL: Nationally Recognized Testing Laboratory)
  • รหัสประจำผลิตภัณฑ์
  • หมายเลขซีเรียล
  • ข้อมูลความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
  • ประเภทของตู้ครอบ (Enclosure Type Rating)

ประเภทพื้นฐานของตู้ครอบตามมาตรฐานUL / CSA / NEMA

Type 3
ตู้ครอบที่ออกแบบสำหรับใช้งานกลางแจ้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันฝุ่นที่ถูกลมพัด, ฝน, ลูกเห็บ และความเสียหายจากน้ำแข็งภายนอก

Type 3R
ตู้ครอบที่ออกแบบสำหรับใช้งานกลางแจ้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันฝนตกและความเสียหายจากน้ำแข็งภายนอก

Type 3S
ตู้ครอบที่ออกแบบสำหรับใช้งานกลางแจ้ง เพื่อป้องกันฝน, ลูกเห็บ, ฝุ่นที่ถูกลมพัด และเพื่อให้สามารถใช้งานกลไกภายนอกได้แม้มีน้ำแข็งเกาะ

Type 4
ตู้ครอบที่ออกแบบสำหรับใช้งานในอาคารหรือนอกอาคาร เพื่อป้องกันฝนและฝุ่นที่ถูกลมพัด, น้ำที่กระเซ็น, น้ำจากสายยางฉีด และความเสียหายจากน้ำแข็งภายนอก

Type 4X
ตู้ครอบที่ออกแบบสำหรับใช้งานในอาคารหรือนอกอาคาร เพื่อป้องกันการกัดกร่อน, ฝนและฝุ่นที่ถูกลมพัด, น้ำที่กระเซ็น, น้ำจากสายยางฉีด และความเสียหายจากน้ำแข็งภายนอก

Type 6
ตู้ครอบที่ออกแบบสำหรับใช้งานในอาคารหรือนอกอาคาร เพื่อป้องกันดินหรือสิ่งสกปรกที่ตกลงมา, น้ำจากสายยางฉีด, การซึมน้ำขณะจมลงชั่วคราวในระดับความลึกที่กำหนด และความเสียหายจากน้ำแข็งภายนอก

Type 6P
ตู้ครอบที่ออกแบบสำหรับใช้งานในอาคารหรือนอกอาคาร เพื่อป้องกันดินหรือสิ่งสกปรกที่ตกลงมา, น้ำจากสายยางฉีด และการซึมน้ำขณะจมลงเป็นเวลานานในระดับความลึกที่กำหนด รวมทั้งความเสียหายจากน้ำแข็งภายนอก

การจัดประเภทพื้นที่อันตรายตามมาตรฐาน Canadian Electrical Code (CEC) โดยครอบคลุม

  • การเปลี่ยนแปลงของ CEC ในปี 1998
  • การจัดแบ่ง Class I (ก๊าซ/ไอระเหย) แบบ Division และ Zone
  • การจัดประเภทของ Class II (ฝุ่นติดไฟ) และ Class III (เส้นใยติดไฟ)
  • กลุ่มก๊าซและฝุ่นในแต่ละคลาส

การเปลี่ยนแปลงในรหัส CEC

ในปี 1998 รหัสไฟฟ้าของแคนาดา (CEC)
    ได้ปรับใช้ระบบการจัดประเภทพื้นที่อันตราย แบบสามโซน ตามมาตรฐานของ IEC (International Electrotechnical Commission) สำหรับพื้นที่อันตรายประเภท Class I ระบบโซนนี้เป็นระบบทางเลือกในการจัดประเภทพื้นที่อันตรายประเภท Class I และมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการบูรณาการมาตรฐานระหว่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม ระบบ Division สำหรับพื้นที่อันตรายประเภท Class I ยังคงใช้อยู่ในสถานประกอบการที่มีอยู่แล้ว และคาดว่าจะยังคงใช้งานไปอีกหลายฉบับของรหัส CEC ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลการรับรองในแค็ตตาล็อกนี้สำหรับพื้นที่อันตรายประเภท Class I จึงรวมทั้ง ระบบ Division แบบก่อนปี 1998 และ ระบบโซนแบบ IEC ที่เป็นระบบใหม่ไว้ด้วย

    Classes ตาม CEC

    รหัสไฟฟ้าของแคนาดา (CEC) ภาคที่ 1 ข้อ 18 – พื้นที่อันตราย ได้กำหนดพื้นที่อันตรายไว้ 3 ประเภทหลัก:

  • Class I – สภาพแวดล้อมที่มีก๊าซและไอระเหย
  • Class II – สภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น
  • Class III – สภาพแวดล้อมที่มีเส้นใยหรือเศษเส้นใยลอยในอากาศ

    หมายเหตุ:
การแก้ไขในปี 1998 ของ CEC มีผลเฉพาะกับ Class I – สภาพแวดล้อมที่มีก๊าซและไอระเหยเท่านั้น

    CEC กำหนดพื้นที่อันตรายว่าเป็น สถานที่ อาคาร หรือส่วนใด ของอาคาร ที่มีความเสี่ยงต่อไฟไหม้หรือการระเบิด เนื่องจากมี ก๊าซที่ติดไฟได้สูง หรือของเหลวระเหยที่ติดไฟได้ ซึ่งถูกผลิต ใช้ หรือเก็บไว้นอกภาชนะบรรจุดั้งเดิม

    คำจำกัดความนี้ยังครอบคลุมถึงฝุ่นที่ติดไฟได้และเส้นใยที่จุดติดไฟได้ง่าย ซึ่งอาจมีอยู่ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับทำให้เกิดการระเบิดได้

ตัวเปรียบเทียบมาตรฐาน IEC/NEC®

Article Hazardous Area Classification
Article Hazardous Area Classification

มาตรฐานระดับโลกสำหรับการจัดประเภทพื้นที่อันตรายกำลังเคลื่อนไปสู่การรวมมาตรฐานให้เป็นหนึ่งเดียว โดยในปี 1999 รหัสไฟฟ้าแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NEC®) และในปี 1998 รหัสไฟฟ้าของแคนาดา (CEC®) ได้เริ่มยอมรับการใช้ระบบ โซน (Zone) สำหรับการจัดประเภทพื้นที่อันตราย แม้ว่าอาจดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เกิด “ความเป็นหนึ่งเดียว” ในมาตรฐานระดับโลก แต่จริง ๆ แล้วนี่เป็นเพียงก้าวแรกของกระบวนการนั้นเท่านั้น

    มีเอกสารและบทความจำนวนมากเกี่ยวกับ มาตรา 505 ใน NEC® ปี 1999 ซึ่งในขณะนี้ถือเป็นบทความแยกต่างหาก ที่สร้างระบบโซนแบบอเมริกันขึ้นมา ซึ่งใช้ระบบ Class/Division ที่คุ้นเคย และผสานโซนจากมาตรฐานยุโรป (IEC/CENELEC) เข้ามาในระบบนั้น โดยยังคงวิธีการเดินสายและเทคนิคการป้องกันตาม NEC® ไว้ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องแยกความแตกต่างระหว่างระบบโซนของสหรัฐฯ กับของ IEC/CENELEC เนื่องจากแม้จะคล้ายกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

    ระบบ Class/Division สำหรับพื้นที่อันตรายฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมวิศวกรรมไฟฟ้าของสหรัฐฯ ดังนั้นการเรียนรู้และใช้งานระบบโซนจะต้องใช้เวลา แต่ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้ มีข้อดีบางประการจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับพื้นที่ที่มีการกำหนดโซนโดยเฉพาะ เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ของโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) ใช้มาตรฐาน IEC (หรือดัดแปลงจากมัน) ดังนั้นการทำความเข้าใจมาตรฐานนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

    เพื่อเข้าใจว่าเรามาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร จำเป็นต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับที่มาของแนวคิด “โซน” เอกสารต่อไปนี้จะเป็นภาพรวมเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักการของมาตรฐาน IEC ในยุโรป วิธีการป้องกัน ผลิตภัณฑ์ คำศัพท์ การเปรียบเทียบกับมาตรฐาน NEC® และ CEC ความแตกต่างในวิธีการติดตั้งระหว่างประเทศ และคำศัพท์เฉพาะต่าง ๆ เราหวังว่าเอกสารนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจแนวทางของ IEC ในการป้องกันความปลอดภัยในพื้นที่อันตราย และการเปรียบเทียบกับ NEC® ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


โดยทั่วไป อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการระเบิดอยู่ภายใต้มาตรฐานหลัก 4 มาตรฐานระดับโลก ได้แก่

  • NEC® (จำเป็นต้องปฏิบัติตาม)
  • CEC (จำเป็นต้องปฏิบัติตาม)
  • CENELEC (จำเป็นต้องปฏิบัติตาม)
  • มาตรฐานโลกอื่น ๆ (IEC, CENELEC, NEC®, อื่น ๆ ที่ยอมรับได้)

    IEC ได้กำหนดพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการปล่อยก๊าซหรือไอระเหยที่ติดไฟไว้ 3 ระดับดังนี้:

ZONE 0 – บรรยากาศที่ระเบิดได้มีอยู่ตลอดเวลา

  • โซนที่มีส่วนผสมของก๊าซ ไอระเหย หรือหมอกที่ติดไฟได้อยู่ตลอดเวลา หรือมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
  • ตัวอย่างเช่น ภายในถังที่มีของเหลวไวไฟที่ระเหยอย่างต่อเนื่อง

ZONE 1 – บรรยากาศที่ระเบิดได้เกิดขึ้นเป็นประจำ

  • โซนที่มีส่วนผสมของก๊าซ ไอระเหย หรือหมอกที่ติดไฟได้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นระหว่างการทำงานตามปกติ
  • ตัวอย่างเช่น พื้นที่รอบ ๆ อุปกรณ์ที่มีการเปิดปิดหรือเคลื่อนย้ายของสารไวไฟ

ZONE 2 – บรรยากาศที่ระเบิดได้อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญ

  • โซนที่ส่วนผสมที่ติดไฟได้มีแนวโน้มว่าจะไม่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานตามปกติ และหากเกิดขึ้นก็จะมีอยู่ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เช่น จากการรั่วซึมหรือในช่วงบำรุงรักษา

    ข้อสำคัญในการกำหนด โซน

  1. ระดับการปล่อยของก๊าซ/ไอระเหยเป็นอย่างไร?
    1. (a) ปล่อยอย่างต่อเนื่อง
    1. (b) ปล่อยระดับแรก (ระหว่างการทำงานตามปกติ)
    1. (c) ปล่อยระดับที่สอง (เกิดขึ้นในสภาวะผิดปกติ)
  2. ประเภทของช่องเปิดในพื้นที่เป็นอย่างไร?
    1. (a) เปิดอยู่ตลอดเวลา
    1. (b) ปกติปิดอยู่
    1. (c) กันน้ำ
    1. (d) เปิดเฉพาะกรณีฉุกเฉิน
  3. การระบายอากาศในพื้นที่ดีเพียงใด?
    1. (a) ดีมาก
    1. (b) ดี
    1. (c) แย่
  4. ระดับของการระบายอากาศเป็นอย่างไร?
    1. (a) สูง
    1. (b) ปานกลาง
    1. (c) ต่ำ

คำแนะนำการกำหนดHAC

Article Hazardous Area Classification