Heat detectors

เครื่องตรวจจับความร้อน

เมื่อพูดถึงการตรวจจับไฟ เครื่องตรวจจับความร้อนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันภัยจากไฟไหม้ ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีแรกเริ่มที่ใช้ในระบบตรวจจับไฟ และยังคงมีความสำคัญจนถึงปัจจุบัน เพราะความเรียบง่ายและความน่าเชื่อถือ

อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน หรือ Heat Detector ถูกจัดให้เป็นสินค้าในหมวดระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire alarm system) โดยที่ Heat Detector คือ อุปกรณ์ที่ทำงานตรวจจับความร้อน ภายในตัวเครื่องจะมีระบบที่สามารถจับอุณหภูมิความร้อนจากเปลวไฟได้

หลายคนอาจจะสับสนระหว่าง Heat Detector กับ Smoke Detector ว่าเป็นอุปกรณ์เดียวกัน แต่จริงๆ แล้ว อุปกรณ์ทั้งสองตัวมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน 

Smoke Detector จะเป็นการตรวจจับควันไฟ ส่วนใหญ่มักจะนิยมติดภายในบริเวณห้องเก็บสารเคมี ส่วน Heat Detector เป็นการตรวจวัดอุณหภูมิที่สูงขึ้น แม้ว่าจะมีควันออกมาน้อยก็ตาม     ในปัจจุบันประเทศไทยมี Heat Detector หลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะกับสถานที่การใช้งานตามสถานการณ์ต่างๆ เพื่อความปลอดภัยสูงอยู่ของชีวิตและทรัพย์สิน

เครื่องตรวจจับความร้อน 3 ประเภทหลัก 

ในที่นี้ จะกล่าวถึงวิธีการทำงาน, การใช้งานในแต่ละสถานที่ และข้อดีของแต่ละประเภทในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

เครื่องตรวจจับความร้อนคืออะไร

เครื่องตรวจจับความร้อนคืออุปกรณ์ที่ใช้ตรวจจับอุณหภูมิสูงหรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับเครื่องตรวจจับควันซึ่งตรวจจับอนุภาคในอากาศ เครื่องตรวจจับความร้อนจะตอบสนองต่อ พลังงานความร้อน – ทั้งแบบที่ถึงอุณหภูมิคงที่หรือแบบที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

วัตถุประสงค์หลักของเครื่องตรวจจับความร้อน

  • ใช้ตรวจจับไฟในพื้นที่ที่มีฝุ่น ควัน หรือความชื้นสูง ซึ่งอาจทำให้เครื่องตรวจจับควันเกิดสัญญาณเตือนไฟเกินจริง
  • ใช้เป็นระบบตรวจจับเสริม ร่วมกับเครื่องตรวจจับควัน เพื่อเพิ่มความครอบคลุมของระบบป้องกันอัคคีภัย
  • เหมาะสำหรับ โรงงานอุตสาหกรรม, อาคารพาณิชย์, และที่พักอาศัย

เครื่องตรวจจับความร้อนแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ตามกลไกการตรวจจับความร้อน

  1.     เครื่องตรวจจับความร้อนแบบอุณหภูมิคงที่ (Fixed Temperature Heat Detectors)
  2.     เครื่องตรวจจับความร้อนแบบอัตราเพิ่มขึ้น (Rate-of-Rise Heat Detectors หรือ ROR)
  3.     เครื่องตรวจจับความร้อนแบบชดเชยอัตรา (Rate-Compensated Heat Detectors)

1. เครื่องตรวจจับความร้อนแบบอุณหภูมิคงที่

วิธีการทำงาน

    จะทำงานเมื่ออุณหภูมิแวดล้อมสูงถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น 135°F (57°C) หรือสูงกว่า อุปกรณ์ภายในอาจเป็นโลหะหลอมเหลว, แผ่นโลหะคู่ หรือเซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ ที่จะกระตุ้นสัญญาณเตือนเมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่ตั้งไว้

คุณสมบัติเด่น

  • ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้
  • เหมาะกับพื้นที่ที่อุณหภูมิคงที่
  • มีทั้งแบบจุดเดียว (Spot-type) และแบบสาย (Line-type)

การใช้งานทั่วไป:

  • คลังสินค้า
  • ห้องควบคุมไฟฟ้า
  • โรงจอดรถ
  • ห้องใต้ดิน

ข้อดี

  • มีโอกาสแจ้งเตือนผิดพลาดน้อยกว่าเครื่องตรวจจับควัน
  • เหมาะสำหรับไฟที่ลุกลามช้า

ข้อจำกัด

อาจไม่ตอบสนองต่อไฟที่เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ

  • ต้องปรับเทียบมากขึ้นในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงอยู่แล้ว

2. เครื่องตรวจจับความร้อนแบบอัตราเพิ่มขึ้น (ROR)

วิธีการทำงาน:

ตรวจจับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว เช่น 12–15°F ต่อนาที แทนที่จะตรวจจับที่อุณหภูมิแน่นอน ทำให้สามารถตรวจพบไฟที่ลุกไหม้เร็วได้ก่อนที่จะถึงจุดอุณหภูมิที่กำหนด

คุณสมบัติเด่น

  • ทำงานเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • ใช้แรงดันอากาศหรือเทอร์มิสเตอร์ในการตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ

การใช้งานทั่วไป:

  • ห้องครัว
  • ห้องเครื่องยนต์
  • ห้องหม้อไอน้ำ
  • โรงงานผลิตต่าง ๆ

ข้อดี

  • ตอบสนองเร็วต่อไฟที่ลุกลามเร็ว
  • แจ้งเตือนได้ก่อนถึงอุณหภูมิคงที่
  • ไม่ไวเกินไปกับความร้อนปกติในพื้นที่

ข้อจำกัด:

  • อาจไม่ตรวจพบไฟที่ลุกลามช้า
  • ต้องมีการปรับแต่งในพื้นที่ที่ร้อนจัด

3. เครื่องตรวจจับความร้อนแบบชดเชยอัตรา (Rate-Compensated)

วิธีการทำงาน

    รวมข้อดีของทั้งแบบ Fixed Temperature และ ROR เข้าด้วยกัน โดยจะทำงานเมื่อถึงอุณหภูมิที่กำหนด แต่สามารถปรับความไวตามอัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิได้ กล่าวคือสามารถ “ชดเชย” การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเพื่อให้การตรวจจับแม่นยำขึ้น

คุณสมบัติเด่น

  • ตรวจจับได้ทั้งแบบคงที่และแบบอัตราเพิ่มขึ้น
  • ใช้โลหะที่ตอบสนองต่อความร้อน

การใช้งานทั่วไป

  • คลังสินค้าที่มีอุณหภูมิแปรผัน
  • อาคารสำนักงาน
  • ห้องแลปหรือคลีนรูม
  • พิพิธภัณฑ์และห้องสมุด

ข้อดี

  • ตรวจจับได้แม่นยำในหลากหลายสถานการณ์
  • ลดการแจ้งเตือนผิดพลาด แม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เสถียร
  • แม่นยำกว่าทั้งแบบ Fixed และ ROR ทั่วไป

ข้อจำกัด

  • ราคาสูงกว่า
  • การติดตั้งซับซ้อนกว่า

หลักการทำงานของอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน

1. หลักการทำงานของแบบ Mechanical

    Heat Detector แบบ Mechanical เป็นระบของอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน ที่ใช้ในการตรวจจับเพลิงไหม้ภายในตัวตึกและอาคารต่างๆ โดยมีข้อดีและข้อจำกัด ดังต่อไปนี้ 

    ข้อดีของแบบ Mechanical 

  • Heat Detector แบบ Mechanical มีราคาถูกกว่า แบบ Electronic 
  • เหมาะสำหรับสถานที่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนหลายจุด 
  • มีความสามารถตรวจจับความร้อนได้ดีเท่ากับแบบ Electronic

ข้อจำกัดของแบบ Mechanical 

  • เมื่อติดตั้ง Heat Detector แล้วจะไม่สามารถทดสอบหรือรู้ได้ว่าอุปกรณ์สามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่
  • เมื่อ Heat Detector ทำงานไปแล้วจะไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนหรือตรวจจับความร้อนได้อีก เนื่องจากโลหะไม่คืนสภาพ 
  • Heat Detector แบบ Mechanical มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่า อุปกรณ์แบบ Electronic ทุกชนิด

2. หลักการทำงานของแบบ Electronic

    Heat Detector แบบ Electronic เป็นระบของอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน ที่ใช้ในการตรวจจับเพลิงไหม้ภายในตัวตึกและอาคารต่างๆ โดยมีข้อดีและข้อจำกัด ดังต่อไปนี้ 

ข้อดีของแบบ Electronic 

  • เมื่อติดตั้ง Heat Detector แล้วสามารถทดสอบอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนพร้อมทำงาน หรือ สามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่
  • Heat Detector แบบ Electronic สามารถใช้งานซ้ำได้ เนื่องจากโลหะจะกลับสู่สภาพเดิมเมื่ออุณหภูมิลดลง 
  • Heat Detector แบบ Electronic มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า อุปกรณ์แบบ Mechanical ทุกชนิด

ข้อจำกัดของแบบ Electronic 

  • มีราคาสูงกว่า แบบ Mechanical ทำให้ในประเทศไทยส่วนใหญ่นิยมใช้ Heat Detector แบบ Mechanical กันมากกว่า 

Heat detector เป็นอุปกรณ์สำคัญในการป้องกันไฟไหม้ และป้องกันความเสียหายของทรัพย์สิน ธุรกิจ และบุคลากร จึงต้องเลือกอุปกรณ์ และระบบ ที่เชื่อถือได้ จากผู้ผลิตที่มาตรฐานและมีชื่อเสียง มิใช่เลือกที่ราคาถูก เพราะถ้าอุปกรณ์ทำงานคลาดเคลื่อน หรือไมทำงาน ความเสียหายจะเกิดมหาศาล