สารอินทรีย์ระเหยง่าย
สารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile organic compounds) หรือที่นิยมเรียกทั่วๆไปว่าสาร VOCs. VOCs พบได้ในชีวิตประจำวันทั่วไปเช่น ในสีทาบ้าน ในควันบุหรี่ ในตัวทำละลายของหมึกพิมพ์ ในอู่พ่นสีรถยนต์ ในน้ำยาฟอกสี ในน้ำยาซักแห้ง ในน้ำยาย้อมผม ในควันเครื่องยนต์ ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือในการเผาไหม้ต่างๆ เป็นต้น
สารอินทรีย์ระเหยง่าย แหล่งกำเนิดนอกจากเกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม และการใช้ผลิตภัณฑ์แล้วยังเกิดจากธรรมชาติ เช่นฟ้าผ่า ภูเขาไฟระเบิด ป่า …เป็นต้น
สาร VOCs เป็นสารเคมีที่มีอะตอมของธาตุคาร์บอนและอะตอมของธาตุไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลักและอาจมีอะตอมของธาตุอื่นๆ เช่น คลอไรด์ ออกซิเจน ฟลูออไรด์ โบรไมต์ ซัลเฟอร์ หรือ ไนโตรเจนประกอบด้วย เป็นสารผสม (Compound) สาร VOCs ระเป็นสารเหยเป็นไอได้ง่าย จึงทำให้สาร VOCs สามารถปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม เป็นมลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์
สารอันตราย เป็นพิษ นอกจากสารอินทรีย์ระเหยง่ายแล้ว ยังมีฝุ่น PM 2.5 และแก๊สที่เป็นพิษ เช่น CO, NOx, SOx…เป็นต้น.
VOC คือสารระเหยง่ายตัวใดตัวหนึ่ง ที่ระเหยได้ที่อุณหภูมิห้อง
TVOC คือสารระเหยง่าย ที่ระเหยได้โดยรวมทั้งหมด (Total concentration) ที่มีในอากาศ
ความเข้มข้นของ VOCs ในร่มนั้นสูงกว่ากลางแจ้งโดยเฉลี่ย 2-5 เท่า ความเข้มข้นของ VOC สูงขึ้นในบ้านสูง เนื่องจากการระบายอากาศไม่เพียงพออุณหภูมิและความชื้นสูงกว่ากลางแจ้ง
มลพิษในตัวเมืองและชนบทมีผลกระทบต่อพลเมืองของโลก ทั้งการสูญเสียสุขภาพ การสูญเสียชีวิตกระทบความยั่งยืนทางสังคมและเศรษฐกิจ แม้จะมีกฎระเบียบการปรับปรุงคุณภาพอากาศ แต่ค่าใช้จ่ายของการกำจัดมลพิษทางอากาศก็มีมูลค่าสูงเกินไป ควรจะหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นให้มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
ผลกระทบของ VOC’s ต่อสุขภาพ
คนสามารถรับ VOCs เข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง เมื่อได้รับ VOCs เข้าไปแล้ว จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพแตกต่างกันไปตามชนิดของ VOCs.
ทางการหายใจ กระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้นอนไม่หลับ ความจำเลอะเลือน เวียนศีรษะ มึนงง หมดสติ ระคายเคืองต่อจมูก ลำคอ น้ำท่วมปอด หายใจติดขัด หัวใจเต้นช้า เกิดความผิดปกติในระบบเลือด คลื่นไส้ ตับ-ไต-กระเพาะปัสสาวะถูกทำลาย
ทางการรับประทาน ทำให้กดประสาทส่วนกลาง เป็นแผลไม้ที่ปากเหงื่อออกมาก หอบหืดคล้ายหายใจเข้าไปตลอดเวลา เป็นแผลที่กระเพาะอาหาร ท้องอืด ปวดท้อง เบื่ออาหาร
ทางการสัมผัสทางกาย เกิดการแผลพุพอง แผลไหม้ ผื่นแดง ผิวหนังแห้ง หากเข้าตาทำให้ตาระคายเคือง ปวดตา ตาแดง เป็นแผลไหม้
สาร VOCs มีผลต่อสุขภาพมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารเคมีปริมาณที่ได้รับ สภาวะทางชีวภาพของร่างกาย และปัจจัยอื่นๆ สาร VOCs บางชนิดหากได้รับในปริมาณมากทำให้เกิดการทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คือไปกดประสาทส่วนกลางโดยอาจจะเกิดอาการทันที ทำให้หมดสติได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อยเป็นเวลานาน ก็ทำให้เกิดปัญหาเรื้อรัง ทำให้เกิดมะเร็ง และเกิดการเสื่อมของเนื้อเยื่ออวัยวะภายในได้ด้วย สำหรับการรักษาผู้ป่วยนั้นมีความลำบากยุ่งยากมาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันและควบคุม
VOCs มีผลต่อสุขภาพ คือ
ผลกระทบต่อสุขภาพระยะสั้น ได้แก่
- การระคายเคืองตา จมูก คอ
- อาการปวดหัว
- ปัญหาการหายใจ
ผลกระทบด้านสุขภาพระยะยาวอาจรวมถึง
- ความเจ็บป่วยในการสร้าง
- อาการแพ้และโรคหอบหืด
- มะเร็ง
- ความเสียหายของไต
VOCs อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด VOC บางประเภทมีความสัมพันธ์กับอัตราการเต้นของหัวใจที่เต้นสูงขึ้น และมีผลกระทบต่อหลอดเลือดแดง
สรุปผลกระทบของสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายต่อระบบต่างๆของร่างกาย มีดังนี้
1. ผลกระทบต่อภูมิคุ้มกัน
VOC หลากชนิดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกรบกวนหรือทำลาย ศักยภาพการป้องกันโรคการติดเชื้อจะลดลง เช่น จากการศึกษาประชากรโดยการตรวจเลือด และผิวหนังในคนที่อยู่ใกล้ที่ทิ้งขยะสารเคมีมีพิษ พบว่ามีสาร Dichloroethane (DCE) ในเลือดมากกว่าผู้ที่อยู่ห่างไกลกว่า ยิ่งอยู่ในบริเวณนั้นนานๆ ยิ่งได้รับมากขึ้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้เม็ดเลือดขาวของประชากรที่อยู่ใกล้ขยะมีพิษมากกว่าจะมีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าในกลุ่มประชากรที่อยู่ห่างไกลออกไป
2. ผลกระทบต่อระบบประสาท
VOC จะทำให้เกิดอาการทางกดประสาทหลายอย่าง เช่น การง่วงนอน วิงเวียนศีรษะ ซึมเศร้า หรือหมดสติได้ จะยิ่งทำให้มีผลมากขึ้น
3. ผลกระทบที่เสียหายต่อสุขภาพด้านอื่นๆ
VOC อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพระบบอื่นๆ ได้แก่ ระบบพันธุกรรม ระบบฮอร์โมน อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ และโรคทางระบบสืบพันธุ์ เช่นเป็นหมัน ความพิการของเด็กมีการกลายเพศ เป็นต้น
VOCS กับบรรยากาศ (Greenhouse Gases)
VOCs ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนโดยตรงต่อก๊าซเรือนกระจก แต่ VOCs ได้รับการพิจารณาว่าเป็นก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมเพราะมีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยอ้อมผ่านกระบวนการทางเคมี
VOCs และไนโตรเจนออกไซด์ทำปฏิกิริยากับแสงแดดเพื่อสร้างโอโซน tropospheric หรือโอโซนระดับพื้นดิน โอโซน Tropospheric เป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญที่สุดอันดับสามหลังจากคาร์บอนไดออกไซด์และมีเธนเนื่องจากโอโซนดูดซับรังสีของดวงอาทิตย์และเพิ่มอุณหภูมิ
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ด้านคุณภาพอากาศ ไอระเหย VOCs ที่สะสมไว้เป็นเวลานาน มีผลต่อชั้นโอโซนที่อยู่ใกล้โลก ทำให้เกิดปฏิกิริยา Photochemical Smog ที่มีแสงแดดเป็นตัวเร่ง และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ทำให้เกิดอาการเจ็บคอ หายใจไม่สะดวก ถ้าได้รับเป็นเวลานานเนื้อเยื่อปอดจะถูกทำลายอย่างถาวร และมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์
ด้านคุณภาพน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน สาร VOCs ที่ถูกปล่อยลงดินหรือรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพ เกิดความเป็นพิษขึ้น พืชและสัตว์น้ำจะไม่สามารถอยู่ได้
ด้านคุณภาพดิน VOCs เมื่อซึมลงสู่ดินจะเกิดการสะสมในชั้นดิน กระทบต่อคุณภาพและการใช้ประโยชน์ของดินในบริเวณนั้น กระทบต่อพืชและระบบนิเวศ ทำลายคลอโรฟิลล์ พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ แคระแกร็น โตช้าจนตายไปในที่สุด
สาร VOCs สามารถแบ่งได้ 2 ชนิด เป็นกลุ่มตามองค์ประกอบ ได้แก่
1. Non-halogenated hydrocarbon หรือ Non- Chlorinated
VOCs เป็นกลุ่มที่ไม่มีอะตอมของธาตุคลอรีนเป็นองค์ประกอบ โดยมากมากจากสิ่งแวดล้อม การเผาไหม้กองขยะ พลาสติก วัสดุ ตัวทำละลาย สีทาวัสดุต่างๆ เป็นต้น ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพเช่น นักดับเพลิง คนงานเผาขยะ คนเผาถ่าน จึงมักป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจเนื่องจากได้รับสาร VOCs เป็นประจำ ตัวอย่างสารกลุ่มนี้ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซโซลีน เฮกเซน แอลกอฮอล์ แอลดีไฮด์ คีโตน โทลูอีน เบนซีน เอทิลเบนซีน ไซลีน ฟีนอล เป็นต้น
2. Halogenated hydrocarbon หรือ Chlorinated
VOCs เป็นกลุ่มที่มีอะตอมของธาตุคลอรีนเป็นองค์ประกอบ โดยมากเป็นสารสังเคราะห์มีความเป็นพิษและมีความเสถียรในสิ่งแวดล้อมมากกว่าสารกลุ่มแรก จึงยากต่อการสลายตัวทำให้เกิดการสะสมในสิ่งแวดล้อมในปริมาณมาก
มาตรฐานของสาร VOCs ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
มาตรฐานที่สำคัญสำหรับ VOCs ประกอบด้วย
1. มาตรฐานประเทศ: หลายประเทศมีมาตรฐานเป็นกฎหมายหรือมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับควบคุมการปล่อย VOCs ที่เป็นอันตราย อาจมีการกำหนดค่ามาตรฐานสำหรับปริมาณของ VOCs ในอากาศหรือในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น การผลิตสีที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมหรือการผลิตรถยนต์
2. มาตรฐานสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก: มีมาตรฐานที่กำหนดโดยองค์กรหรือสถาบันที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมด้วยเคมีหรือวัสดุก่อสร้างที่มีการปล่อย VOCs ออกมา อาจมีการกำหนดค่าที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
3. มาตรฐานสำหรับอาคารและวัสดุก่อสร้าง: มีมาตรฐานเฉพาะสำหรับอาคารหรือวัสดุก่อสร้างที่กำหนดโดยองค์กรหรือสถาบันที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แน่ใจว่าอาคารหรือวัสดุเหล่านั้นมีการใช้วัสดุที่มีความปลอดภัยและมีการปล่อย VOCs ในระดับที่ยอมรับได้
การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจาก VOCs จะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณของ VOCs ที่ปล่อยออกมา ระยะเวลาที่สัมผัส และการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ อีกที่เสี่ยงต่อการรับรู้ผิดปกติในระยะยาว การประเมินความเสี่ยงและการตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับ VOCs นั้นจะคำนึงถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์ล่าสุดและมีการพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียด
สำหรับประเทศไทบ กฏหมายเพื่อการควบคุมและเฝ้าระวัง VOCs ที่ปนเปื้อนในอากาศ โดยกรมควมคุมมลพิษ ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานสำหรับสาร VOCs ในอากาศโดยทั่วไปในเวลา 1 ปี และค่าเฝ้าระวังสำหรับสาร VOCs โดยทั่วไปในเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษที่เกิดจากสาร VOCs
มีเทน (Methan) เป็นสารประกอบอินทรีย์ หน่วยงานกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลระบุว่าเป็น VOC อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านกฎระเบียบ ได้แยกมีเทนออกจาก VOCs อื่น ๆ ด้วยเหตุผลหลัก คือ
- ปฏิกิริยาทางเคมีไฟฟ้าต่ำ
- ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อตัวของโอโซนระดับพื้นดินมากเท่ากับ VOCs อื่น ๆ
- ให้การสนับสนุนโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ค่ามาตรฐานของการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสาร VOCs ในอากาศ
มาตรฐานค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศทั่วไปในเวลา 1 ปี แสดงดังตาราง
(ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ เข้าถึงวันที่ 25 ม.ค. 2564)
มาตรฐานค่าเฝ้าระวังสำหรับสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา 24 ชั่วโมง
(ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ เข้าถึงวันที่ 25 ม.ค. 2564)
ค่าเป้าหมายควบคุมของสารเคมี และค่าที่ยอมรับได้
(ตามมาตรฐานของ CDPH Standard Method v1.1)
สาร VOC มีผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์โดยตรง ดังนื้
- Benzene เป็นสาร VOC ที่หากรับประทานหรือสูดดมโดยตรงจะก่อให้เกิดพิษต่อระบบประสาทส่วนกลางและอาจเสียชีวิตได้ แต่ถ้าหากสูดดมติดต่อกันเป็นเวลานานจะเกิดพิษต่อระบบเลือด ระบบภูมิคุ้มกันและเนื้องอก ซึ่งสัมพันธ์กับโอกาสการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- Vinyl Chloride เป็นสาร VOC ที่เกิดพิษเฉียบพลันต่อตับ ปอด ไต หัวใจ และส่งผลให้เลือดไม่แข็งตัวหากได้รับในปริมาณมากจะทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ หากสูดดมปริมาณน้อยติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำลายเส้นประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน
- 1,2-Dichloroethane เป็นสาร VOC ที่พิษเฉียบพลันต่อระบบประสาท ตับ ไต ก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้
- Trichloroethylene เป็นสาร VOC ที่หากสูดดมปริมาณจะทำให้หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ เป็นพิษต่อตับและไต รวมถึงทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หากได้รับสะสมเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งและมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธ์
- Dichloromethane เป็นสาร VOC ที่หากสูดดมจะก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันส่งผลให้หมดสติได้
- 1,2-Dichloropropane เป็นสาร VOC ที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศรีษะ คลื่นไส้ ทำลายตับ ไต และส่งผลให้เสียชีวิตได้ หากสูดดมเป็นระยะเวลานานจะทำลายตับ ไต และระบบทางเดินหายใจ
- Tetrachloroethylene เป็นสาร VOC ที่เกิดพิษเฉียบพลันส่งผลทำให้เวียนศรีษะ ง่วงซึม คลื่นไส้ พูดหรือเดินลำบาก หมดสติและเสียชีวิตได้ หากสูดดมเป็นระยะเวลานานๆ จะทำลายตับ เปต และก่อให้เกิดเป็นมะเร็งได้ และอาจจก่อให้เกิดการแท้งบุตรได้
- Chloroform เป็นสาร VOC ที่เป็นพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง ตับ และไต หากได้รับในปริมาณสูงทำให้อ่อนเพลีย เวียนศรีษะ และหากได้รับปริมาณต่ำติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำลายการทำงานของตับและไต
- 1,3-Butadiene เป็นสาร VOC ที่หากสัมผัสโดยตรงก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือหากสัมผัสในปริมาณที่สูงมาก ก่อให้เกิดอาการมึนเมาและเสียชีวิตได้ ในกรณีสัมผัสหรือสูดดมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ก่อให้เกิดพิษต่อระบบเลือด ปอด และก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
- Carbon Tetrachloride เป็นสาร VOC ที่การสูดดมก่อให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ และส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางและอาจทำให้หมดสติได้ สารนี้มีพิษต่อตับ ไต ผิวหนัง ปอด ดวงตา ระบบประสาทส่วนกลางและอาจก่อให้เกิดมะเร็ง อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธ์
- Acetaldehyde เป็นสาร VOC ที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เวียนศรีษะ เมื่อยล้า เซื่องซึมและอาจทำให้หมดสติ
- Acrolein ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ หายใจติดขัด หากรับปริมาณมากจะทำให้ปอดถูกทำลายและถึงแก่ชีวิตได้ หากกลืนเข้าไปจะเกิดพิษเฉียบพลันต่อระบบทางเดินอาหารและถึงแก่ชีวิต
- Benzyl Chloride เป็นสาร VOC ที่เป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ ทำลายเยื่อเมือกอย่างรุนแรง เกิดการอักเสบและบวมน้ำของกล่องเสียงและหลอดลมใหญ่ หากกลืนเข้าไปจะก่อให้เกิดแผลไหม้ทางเดินอาหารและส่งผลให้เกิดเป็นอัมพาตได้
วิธีการตรวจวิเคราะห์สาร VOCs
เนื่องจากปริมาณสาร VOCs ที่ปนเปื้อนในอากาศโดยทั่วไปมีปริมาณน้อยและมีปริมาณเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามกิจกรรมที่เกิดขึ้น ณ บริเวณนั้นๆ การตรวจวิเคราะห์สาร VOCs เพื่อควบคุมและเฝ้าระวังจึงเป็นรายงานเป็นปริมาณในเวลา 1 ปี หรือ 24 ชั่วโมงโดยอ้างอิงวิธีการวิเคราะห์ตามวิธีมาตรฐานขององค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Environmental Protection Agency หรือ U.S. EPA) Method TO-14A หรือ Method TO-15 ซึ่งเป็นวิธีตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟีที่ทำการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
วิธีการเก็บตัวอย่างอากาศเพื่อนำไปวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการนั้นตามวิธี U.S. EPA Method TO-14A หรือ U.S. EPA Method TO-15 ทำได้โดยการใช้ถังเก็บตัวอย่างอากาศ (Canister) แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการ
เมื่อนำถังเก็บตัวอย่างอากาศเพื่อมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการนั้น ก่อนที่จะนำตัวอย่างเข้าสู่ระบบแก๊สโครมาโทกราฟี (GC) หรือ แก๊สโครมาโทกราฟฟีแมสสเปคโตรเมตรี GC-MS จะต้องมีระบบเทอร์มอลดีซอร์บชัน (Thermal Desorption; TD) ช่วยในขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างก่อน เนื่องจากปริมาณสาร VOCs ในตัวอย่างอากาศมีปริมาณน้อยมากและยังมีความชื้นปะปนอยู่ซึ่งอาจส่งผลต่อความไวในการวิเคราะห์ ดังนั้นการเชื่อมต่อด้วยระบบ TD จะทำให้สามารถกำจัดความชื้นและเพิ่มความเข้มข้นของสาร VOCs ก่อนเข้าสู่ระบบ GC หรือ GC-MS ได้
ระบบการวิเคราะห์สาร VOCs ในอากาศตามวิธีมาตรฐาน U.S. EPA method TO15
สำหรับระบบ TD ซึ่งเป็นระบบการเตรียมตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค GC หรือ GC-MS นั้น เป็นระบบที่ช่วยกำจัดความชื้นและเพิ่มความเข้มข้นของสาร VOCs ในตัวอย่างอากาศโดยมีขั้นตอนดังนี้
1) ตัวอย่างอากาศผ่านระบบกำจัดความชื้น
2) ตัวอย่างอากาศที่ไม่มีความชื้นเข้าสู่ตัวดูดซับ (Focusing trap) ที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อสาร VOCs
3) ให้ความร้อนกับตัวดูดซับนั้นเพื่อชะสาร VOCs เข้าสู่ระบบ GC หรือ GC-MS ต่อไป
นอกเหนือจากการเก็บตัวอย่างอากาศด้วยถังเก็บตัวอย่างอากาศแล้ว ยังใช้วิธีการเก็บตัวอย่างอากาศ หรือ ตัวอย่างอื่นๆเพื่อวิเคราะห์สาร VOCs ได้ด้วยวิธีอื่นๆหลากหลายวิธี เช่นการใช้หลอดเก็บตัวอย่าง (Sample Tube) การใช้ถุงเก็บอากาศ (Sample bag) หรือการวิเคราะห์แบบทันท่วงที (Online analysis)
นอกจากนี้การวัดตรวจสอบวัดค่า VOC’s ในทางปฏิบัติ อาจจะไช้เครื่องมือวัด VOC’s แบบเคลื่อนที่ (Portable VOC gas detector)
การกระทำเพื่อลด VOCs ในสภาพแวดล้อม
เพื่อป้องกันตัวเองจากความเข้มข้นของ VOCs ในร่ม ทำได้โดยลดจำนวนแหล่งกำเนิด VOC ซึ่งมีหลายวิธี เช่น
- ใช้ภาชนะบรรจุอากาศเพื่อเก็บผลิตภัณฑ์ที่มี VOC
- เก็บสารเคมีไว้ด้วย VOCs ให้ห่างจากผู้คนในโรงรถหรือโรงเก็บของ
- กำจัดสารเคมีที่ไม่ได้ใช้ผ่านระบบเก็บขยะอันตรายในครัวเรือนของชุมชน
- พยายามอย่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคของละอองลอย
- ซื้อสีที่ทำจากน้ำมากกว่าที่ใช้ตัวทำละลาย
- ปรับปรุงบ้านเมื่อว่างถ้าเป็นไปได้
- เมื่อขับรถ ให้ใช้เครื่องฟอกอากาศ
เครื่องฟอกอากาศเฉพาะ VOC เช่นซีรี่ส์ GC สามารถกำหนดค่าได้โดยตัวกรองเพื่อกำจัด VOCS และทำความสะอาดอากาศ นอกจากนี้คุณยังสามารถเปิดหน้าต่างและระบายอากาศสภาพแวดล้อมในร่มด้วยอากาศบริสุทธิ์เพื่อเจือจางและลดความเข้มข้นของ VOC.