Fire Door Inspection Guide

แนวทางการตรวจสอบประตูป้องกันไฟ

จากข้อมูลของ FPA (สมาคมป้องกันอัคคีภัย – Fire Protection Association ,FPA) พบว่า 57% ของประตูทนไฟที่ได้รับการตรวจสอบต้องการการซ่อมบำรุงเล็กน้อย ขณะที่ 40% ของประตูที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกถูกตัดสิทธิ์การใช้งาน เนื่องจากการบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสม ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการตรวจสอบประตูทนไฟมักถูกละเลย หรือดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อผู้ใช้อาคาร

ประตูทนไฟถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบป้องกันไฟแบบพาสซีฟ (Passive Fire Protection) ภายในอาคาร ซึ่งออกแบบมาเพื่อชะลอการลุกลามของเปลวไฟและควัน ช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของประตูทนไฟขึ้นอยู่กับการออกแบบ สภาพของประตูและการบำรุงรักษา อย่างใกล้ชิด หากไม่มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุม แม้แต่ประตูคุณภาพดีที่สุดก็อาจล้มเหลวในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย

ประตูป้องกันไฟ (Fire Door) และอุปกรณ์ป้องกันไฟแบบพาสซีฟ (Passive Fire Protection) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมไฟไม่ให้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่นของอาคาร ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน

  • การติดตั้งต้องใช้ วัสดุและอุปกรณ์ที่ผ่านการรับรอง (Certified Components) เพื่อให้บานประตูสามารถทนไฟตามระดับที่กำหนด
  • ต้องมีการ ตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำ โดยเฉพาะประตูที่อยู่บนเส้นทางหนีไฟ (Escape Route), ประตูป้องกันควัน และประตูทางออกสุดท้าย (Final Exit Door)
  • ความถี่ในการตรวจควรขึ้นอยู่กับ:

ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่บางประตูอาจต้องตรวจ รายเดือนหรือรายสัปดาห์

หัวข้อหลักในการตรวจสอบประตูป้องกันไฟ

1. Door Leaf & Frame (บานประตูและวงกบ)

  • ประตูต้องสามารถ ปิดสนิทได้ด้วยตัวเอง โดยใช้ตัวปิดประตูอัตโนมัติ (Door Closer) และ ไม่ติดพื้นหรือขัดขวางการเคลื่อนไหว
  • ตรวจสอบว่า:
    • ไม่มีสิ่งกีดขวาง
    • ไม่มีรอยขูดพื้น
    • ซีลกันควันติดตั้งถูกต้อง
    • กลอนประตูทำงานปกติและหล่อลื่นอย่างเหมาะสม
  • หากต้องปรับตัวปิดประตู ควรทำอย่างระมัดระวังไม่ให้เปิดยากเกินไป
  • ช่องว่างรอบบานต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด
  • บานที่มีความเสียหายเล็กน้อยสามารถซ่อมได้ แต่ถ้ามีความเสียหายมากควร เปลี่ยนใหม่ทันที

2. Glazed Apertures (ช่องกระจกในประตู)

  • หากกระจกแตกหรือร้าว ต้อง เปลี่ยนทันที เพราะจะทำให้ไฟและควันผ่านได้
  • งานซ่อมหรือเปลี่ยนต้องดำเนินการโดย ผู้ติดตั้งที่ได้รับการรับรอง (Accredited Installer) เท่านั้น

3. Intumescent Fire & Smoke Seals (แถบกันไฟและควัน)

  • ซีลชนิด Intumescent จะพองตัวเมื่อโดนความร้อน เพื่อปิดช่องว่างระหว่างบานและวงกบ
  • ซีลชนิด Cold Smoke Seal (แบบแปรงหรือยาง) จะกันควันในช่วงต้นของไฟไหม้
  • ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า:
    • ซีลไม่หลุดหรือเสียหาย
    • ซีลติดตั้งครบทุกด้าน
    • หากเปลี่ยน ต้องใช้ ยี่ห้อและขนาดเดียวกับของเดิม
    • ซีลควรต่อเนื่อง ไม่แยกเป็นชิ้น ๆ เพราะอาจเกิดการรั่วของควัน

4. Door Closing Devices (อุปกรณ์ปิดประตูอัตโนมัติ)

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าประตู ปิดได้เองจากทุกมุมเปิด
  • เปิดประตูที่มุม 90° → ต้องปิดภายใน ~10 วินาที โดยไม่กระแทกแรง
  • เปิดเพียง 5° → ต้องปิดจนสนิทและเข้ากลอน
  • ห้ามใช้สิ่งของ หนุนหรือค้ำเปิด
  • หากอยู่บนเส้นทางหนีไฟ → ต้องปลดล็อกอัตโนมัติเมื่อมีสัญญาณเตือน
  • หากระบบไม่ทำงาน → ใช้ “break glass” ปลดล็อกได้

5. Electro-Magnetic Hold-Open Devices (ตัวค้ำเปิดประตูไฟฟ้าแม่เหล็ก)

  • ต้องเชื่อมต่อกับ ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System)
  • เมื่อระบบแจ้งเหตุทำงาน → ตัวค้ำต้องปล่อยประตูให้ปิดทันที
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ ไม่ฝืนแรงของตัวปิดประตู
  • ตำแหน่งติดตั้งต้องเหมาะสมกับชนิดของ closer (บนหรือล่างของบาน)

6. Ironmongery & Door Hardware (อุปกรณ์โลหะและฮาร์ดแวร์ประตู)

  • ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมด เช่น บานพับ กลอน ตัวปิดประตู ลูกบิด
  • ควรเป็นอุปกรณ์ที่ผ่านมาตรฐาน NFPA 80, BS EN และ CE Marking
  • หากเปลี่ยนต้องใช้รุ่นเดียวกับของเดิม และเหมาะสมกับประตูไม้ (Timber Door Set)
  • ฮาร์ดแวร์ที่ผ่านการทดสอบกับประตูโลหะอาจไม่เหมาะกับประตูไม้

7. Hinges (บานพับ)

  • ต้องมีอย่างน้อย 3 ตัวต่อบาน และยึดแน่นด้วยสกรูครบทุกตัว
  • หากพบคราบสีดำรอบข้อต่อ → อาจเกิดการสึกหรอ ควรเปลี่ยนทันที
  • ตรวจว่าบานพับไม่หลวม ไม่รั่วน้ำมัน และทำงานลื่นไหล

8. Locks & Lever Handles (กลอนและมือจับ)

  • มือจับต้องกลับสู่แนวระนาบหลังใช้งาน
  • กลอนต้องเข้าและล็อกได้แน่นโดยไม่ฝืด
  • เช็ดคราบฝุ่นโลหะออกจากกลอนและแผ่นรับ (strike plate)
  • หากชำรุด → ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนให้ตรงรุ่น

9. CE Marking & Door Certification (การรับรองและฉลากประตู)

  • อุปกรณ์และประตูที่ผ่านการรับรองต้องมี ตรา CE Marking หรือ BWF-Certifire Plug/Label
  • ระบบการรับรองที่ใช้ทั่วไป:
    • BM TRADA Q-Mark
    • BWF-Certifire Fire Door Scheme
  • ระดับการทนไฟของประตู:
    • FD30 → 30 นาที
    • FD60 → 60 นาที
    • FD90 → 90 นาที
    • FD120 → 120 นาที
  • ห้ามลอกหรือทาสีทับป้ายรับรอง — หากป้ายชำรุดต้องแจ้งผู้ผลิต

10. Fire Door Signs (ป้ายประตูป้องกันไฟ)

    ตามข้อกำหนดของ The Health and Safety (Safety Signs and Signals) Regulations 1996 และ BS 5499

  • ประตูที่มีตัวปิดอัตโนมัติ → ใช้ป้าย
     “Fire Door Keep Shut”
  • ประตูที่ไม่มีตัวปิด → ใช้ป้าย
     “Fire Door Keep Locked”
  • ประตูที่ใช้ตัวค้ำเปิดไฟฟ้า → ใช้ป้าย
     “Automatic Fire Door Keep Clear”

    ป้ายควรติดระดับสายตา ทั้งสองด้านของบาน

11. Cleaning (การทำความสะอาด)

  • ใช้วิธีทำความสะอาดที่เหมาะกับวัสดุของบานประตู (ตามคำแนะนำผู้ผลิต)
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงที่อาจทำลายพื้นผิวหรือซีล

12. Fire Door Maintenance Checklist (แบบตรวจสอบสภาพประตูไฟ)

    รายการตรวจสอบประกอบด้วยหัวข้อสำคัญ เช่น

  • ป้ายรับรอง (Plug/Label)
  • สภาพบานประตู (Leaf)
  • ช่องว่างและวงกบ (Frame & Gap)
  • ซีลกันไฟ/ควัน (Intumescent & Smoke Seal)
  • มือจับ กลอน บานพับ
  • ตัวปิดอัตโนมัติ (Door Closer)
  • อุปกรณ์ค้ำเปิด (Hold Open Device)
  • กระจก (Glazing)
  • ป้ายสัญลักษณ์ (Signage)

แต่ละหัวข้อจะให้ตรวจแบบ “Yes / No” และระบุข้อบกพร่องที่พบ

เอกสารนี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ละเอียดสำหรับการตรวจสอบและบำรุงรักษา “ประตูป้องกันไฟ” เพื่อให้มั่นใจว่า:

  • ประตูทุกบานสามารถ ปิดสนิทได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้
  • ช่องว่างและซีลอยู่ในสภาพดี
  • อุปกรณ์ทุกชิ้นได้รับการรับรองและบำรุงรักษาตามมาตรฐาน
  • มีป้ายและระบบล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมาย
  • ตรวจสอบเป็นประจำเพื่อยืดอายุการใช้งานและคงสมรรถนะการทนไฟตามระดับ FD30/FD60 เป็นต้น

การตรวจสอบประตูทนไฟต้องดำเนินการโดยผู้ที่มี ความสามารถและคุณสมบัติเหมาะสม ตามที่กำหนดไว้ใน กฎหมายปฏิรูปด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัย ปี 2005 (Regulatory Reform Fire Safety Order 2005) ของสหราชอาณาจักร โดยทั่วไปหมายถึงผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง และถือใบรับรองจากองค์กรที่ได้รับการยอมรับ เช่น Fire Door Inspection Scheme (FDIS) ผู้ตรวจสอบต้องมีความรู้ด้านการติดตั้ง บำรุงรักษา และกฎระเบียบเฉพาะเกี่ยวกับประตูทนไฟ

  • ในสหราชอาณาจักร: กฎหมายแนะนำให้มีการตรวจสอบ ทุก 6 เดือน
  • ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ: มาตรฐาน NFPA 80 กำหนดให้ต้องมีการ ตรวจสอบปีละครั้ง (อย่างน้อย)
  • กรณีพื้นที่ใช้งานสูง หรือสภาพแวดล้อมรุนแรง: อาจต้องตรวจถี่กว่านั้น เช่น ทุกไตรมาส หรือรายเดือน
  • เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ดับเพลิงอื่นๆ: ประตูทนไฟอาจไม่ต้องตรวจบ่อยเท่าถังดับเพลิง แต่ก็ยังจำเป็นต้องตรวจสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ กฎหมายท้องถิ่น มาตรฐานอุตสาหกรรม หรือข้อกำหนดจากบริษัทประกัน อาจกำหนดความถี่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสมอ

มาตรฐาน NFPA 80 ได้ระบุรายละเอียดข้อกำหนดอย่างชัดเจนสำหรับชุดประตูทนไฟ รวมถึงเกณฑ์การตรวจสอบที่ต้องปฏิบัติตาม จุดเด่นของการประเมินประตูทนไฟมี 3 ประการ

1.ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย
การตรวจสอบประตูทนไฟเป็นข้อกำหนดตามกฎหมายในหลายประเทศ หากละเลย อาจถูกลงโทษทางกฎหมาย เช่น ค่าปรับจำนวนมาก หรือแม้แต่คำสั่งปิดกิจการ
รายงานหนึ่งระบุว่า 75% ของประตูทนไฟที่ตรวจสอบในปี 2021 ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย
2.มั่นใจว่าประตูทำงานได้ตามหน้าที่
อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ซีล กลไกปิดประตู และกลอน อาจเสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลต่อความสามารถในการกันไฟและควัน การตรวจสอบและซ่อมแซมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
3.เพิ่มความปลอดภัยของพนักงานและผู้ใช้อาคาร
ประตูทนไฟมีหน้าที่ชะลอการลุกลามของไฟและควัน ให้ทางหนีไฟที่ปลอดภัย ลดโอกาสการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่จะทำหน้าที่นี้ได้ก็ต่อเมื่อ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
4.เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการรับประกันภัย
บริษัทประกันหลายแห่งกำหนดให้มีหลักฐานการตรวจสอบประตูทนไฟ

อย่างสม่ำเสมอ หากไม่ดำเนินการตามข้อกำหนด อาจส่งผลให้เบี้ยประกันเพิ่มขึ้น หรือสิทธิ์คุ้มครองถูกยกเลิก

ข้อกำหนดในการประเมินประตูทนไฟ

กฎระเบียบเกี่ยวกับประตูทนไฟแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ โดยแต่ละเขตอำนาจจะกำหนดมาตรฐานเฉพาะเพื่อรับรองความปลอดภัยและความสอดคล้องตามข้อบังคับ

ในประเทศสหราชอาณาจักร

เอกสารอนุมัติของรัฐบาลที่เรียกว่า Approved Document B ได้ระบุข้อกำหนดที่สำคัญสำหรับประตูทนไฟในอาคาร ได้แก่:

  • ระดับการทนไฟขั้นต่ำ (เช่น FD30, FD60 และ FD120) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการต้านทานไฟได้ 30, 60 หรือ 120 นาที ตามลำดับ
  • มาตรการควบคุมควัน
  • ป้ายรับรองมาตรฐาน ซึ่งต้องติดตั้งอยู่บนประตูและสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
  • การติดตั้ง ต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบรับรอง
  • การตรวจสอบประจำ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

    ในประเทศออสเตรเลีย

    ประตูทนไฟต้องเป็นไปตามข้อกำหนดใน Building Code of Australia (BCA) ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณสมบัติการต้านทานไฟ การควบคุมควัน และการติดตั้งที่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน

    ในประเทศสหรัฐอเมริกา

    ใช้มาตรฐานของ สมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติ (NFPA) โดยเฉพาะ NFPA 80 ซึ่งให้คำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับการ ติดตั้ง การตรวจสอบ และการบำรุงรักษาประตูทนไฟ

    วิธีที่เชื่อถือได้ที่สุดในการตรวจสอบว่าประตูเป็นประตูทนไฟหรือไม่คือการมองหา ป้ายรับรองมาตรฐาน (Certification Label)

  • ป้ายนี้มักจะติดอยู่ที่ ขอบบนหรือด้านข้างของประตู
  • ระบุข้อมูลที่สำคัญ เช่น ชื่อผู้ผลิต หมายเลขการรับรอง และระดับการทนไฟ (เช่น FD30 หมายถึงทนไฟได้ 30 นาที)
  • ป้ายนี้ยืนยันว่าประตูได้ผ่านการทดสอบและตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

    นอกจากป้ายรับรองแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ว่าเป็นประตูทนไฟหรือไม่:

  • ช่องว่างรอบประตู (Door Gaps)
    • ช่องว่างควร ไม่เกิน 4 มม.
    • สามารถใช้เหรียญ (ที่มีความหนาประมาณ 3 มม.) ตรวจวัดได้ หากช่องว่างมากกว่านี้ อาจทำให้ประตูไม่สามารถกันไฟหรือควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ซีลกันไฟ (Intumescent Seals)
    • มักติดอยู่บริเวณขอบของประตูหรือวงกบ
    • ซีลชนิดนี้จะขยายตัวเมื่อเจอความร้อน เพื่อปิดช่องว่างรอบประตู
    • ตรวจสอบได้โดยเปิดประตูและดูตามขอบว่ามีแถบซีลต่อเนื่องหรือไม่
  • บานพับ (Hinges)
    • ประตูทนไฟควรมีอย่างน้อย 3 บานพับ ที่ยึดแน่นและอยู่ในสภาพดี
    • หากมีน็อตหายหรือบานพับเสียหาย อาจทำให้ประตูไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดไฟไหม้
  • กลไกปิดอัตโนมัติ (Automatic Closing Mechanism)
    • ทดสอบโดยเปิดประตูครึ่งทางแล้วปล่อย ประตูควรปิดเองอย่างราบรื่นโดยไม่ต้องช่วย
    • หากไม่ปิดเอง กลไกอาจเสีย ซึ่งส่งผลต่อการใช้งานในกรณีฉุกเฉิน

จุดสำคัญที่ต้องครอบคลุมในการตรวจสอบประตูทนไฟ

การตรวจสอบที่ครอบคลุมควรประเมินทุกส่วนของชุดประตูทนไฟอย่างละเอียด ดังนี้:

1. วงกบประตู (Door Frame)

  • ต้องยึดติดกับผนังอย่างมั่นคง และไม่มีร่องรอยความเสียหายหรือการบิดเบี้ยว
  • หากวงกบอ่อนแอหรือเสียหาย อาจไม่สามารถยึดประตูไว้ได้ภายใต้ความร้อนสูงจากไฟ

2. อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Door Hardware)

  • รวมถึงบานพับ มือจับ กลอน ตัวปิดประตู ฯลฯ
  • ทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพดี และไม่สึกหรอ
  • ความเสียหายของชิ้นส่วนใดชิ้นหนึ่งอาจทำให้ประตูไม่สามารถปิดได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่เกิดเพลิงไหม้

3. บานประตู (Door Leaf)

  • ตรวจสอบว่าไม่มีการบิดเบี้ยว รอยบุบ หรือรอยแตก
  • โครงสร้างของบานประตูต้องแข็งแรงเพื่อรักษาคุณสมบัติการทนไฟ

4. ซีลกันไฟและซีลกันควัน (Intumescent and Smoke Seals)

  • ต้องติดตั้งไว้อย่างถูกต้องและอยู่ในสภาพสมบูรณ์
  • หากซีลชำรุดหรือไม่แนบสนิท อาจทำให้ควันหรือเปลวไฟรั่วผ่านช่องว่างของประตูได้

5. กระจกและช่องมอง (Glazing and Vision Panels)

  • หากมี ต้องติดตั้งแน่นหนา และไม่มีรอยร้าวหรือเสียหาย
  • กระจกที่หลวม หรือแตกร้าวอาจพังลงเมื่อเจอความร้อนสูง ทำให้ไฟสามารถลุกลามต่อได้

ช่องว่างของประตูทนไฟ (Fire Door Gap)

ช่องว่างระหว่างบานประตูกับวงกบควรอยู่ภายใต้ข้อกำหนดมาตรฐาน โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 2 มม. ถึง 4 มม.
หากช่องว่างกว้างเกินไป อาจทำให้ ควันและเปลวไฟสามารถเล็ดลอดผ่านได้ ซึ่งจะลดประสิทธิภาพของประตูทนไฟในการป้องกันอัคคีภัย

อุปกรณ์ปิดประตูอัตโนมัติ (Self-Closing Device)

ประตูทนไฟควรติดตั้ง อุปกรณ์ปิดประตูอัตโนมัติ และควรสามารถ ปิดได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อปล่อยจากตำแหน่งเปิดใดๆ
การปิดประตูอย่างต่อเนื่องและแนบสนิทเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อ ป้องกันการแพร่กระจายของไฟและควัน

ป้ายและเครื่องหมายรับรองต้องมีและสามารถอ่านได้ (Labels and Signs are Present & Legible)

ประตูทนไฟควรมี ป้าย, ปลั๊ก หรือเครื่องหมายรับรอง จากหน่วยงานที่ได้รับการรับรอง เพื่อแสดงถึง ระดับการทนไฟ ของประตูและยืนยันว่าผ่านการทดสอบตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

หากระหว่างการตรวจสอบพบว่าไม่มีป้ายรับรองอยู่บนส่วนใดของชุดประตูทนไฟ อาจจำเป็นต้อง ขอรับการติดฉลากใหม่ จากหน่วยบริการติดฉลากที่ได้รับการรับรอง

ขั้นตอนการประเมินประตูทนไฟ (Steps to Perform Fire Door Assessments)

การตรวจสอบประตูทนไฟมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับรองว่าเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัย และช่วยให้ ระบบแบ่งพื้นที่กันไฟ (compartmentation) มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยแต่ละองค์ประกอบของประตูต้องสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องในสภาวะเกิดเพลิงไหม้

สามารถใช้ขั้นตอนด้านล่างนี้เพื่อตรวจสอบประตูทนไฟอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

1. ตรวจสอบใบรับรองของประตู (Verify Door Certification)

    เริ่มจากการตรวจสอบ ป้ายรับรองหรือเครื่องหมายรับรอง ซึ่งมักติดไว้ที่ ขอบบนหรือขอบด้านข้างของบานประตูและวงกบ

  • ป้ายต้องสามารถ อ่านได้ชัดเจน และอยู่ในสภาพสมบูรณ์
  • ควรระบุชื่อผู้ผลิต, ระดับการทนไฟ, และหน่วยงานรับรอง
  • หาก ป้ายหายไปหรือเสียหาย อาจต้อง เปลี่ยนประตูหรือขอรับรองใหม่

2. ใช้แบบตรวจสอบ (Checklist) ในการดำเนินการตรวจสอบ

    การใช้ แบบฟอร์มตรวจสอบดิจิทัล จะช่วยให้การตรวจสอบมีความ สม่ำเสมอ มีการติดตามผล และเป็นไปตามข้อกำหนด
นอกจากนี้ยังช่วยบันทึกข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์

    สามารถใช้แบบฟอร์มตัวอย่าง เช่น Fire Door Inspection Checklist บานประตูและวงกบ (Door Leaf and Frame):
ตรวจสอบความเสียหาย การบิดเบี้ยว หรือจุดยึดที่หลวม

  • ช่องว่างรอบประตู (Clearances and Gaps):
    วัดช่องว่างรอบประตูเพื่อให้เป็นไปตามค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
  • อุปกรณ์และชิ้นส่วนของประตู (Door Hardware and Components):
    ตรวจสอบว่าบานพับ, กลอน, ตัวปิดประตู และซีลทำงานได้ถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐาน
  • ระบบปิดและล็อกอัตโนมัติ (Self-Closing and Latching):
    ทดสอบว่าเมื่อปล่อยจากตำแหน่งเปิด ประตูสามารถปิดและล็อกได้เอง
  • กระจกและช่องมอง (Glazing and Vision Panels):
    ตรวจสอบว่ากระจกกันไฟและซีลติดตั้งถูกต้องและไม่มีความเสียหาย
  • ซีลกันควันและซีลกันไฟ (Smoke and Intumescent Seals):
    ตรวจสอบความต่อเนื่อง สภาพ และตำแหน่งการติดตั้งของซีลทั้งหมด
  • ป้ายและสภาพพื้นผิว (Signage and Surface Condition):
    ตรวจสอบว่ามีป้ายตามข้อกำหนด และพื้นผิวของประตูไม่ถูกดัดแปลงจนทำให้คุณสมบัติการทนไฟลดลง

3. บันทึกผลการตรวจสอบ (Document and Report Findings)

    บันทึกผลการตรวจสอบอย่างชัดเจน โดยระบุ สภาพของแต่ละองค์ประกอบ และรายละเอียดของ ข้อบกพร่องที่พบ
ควรแนบ หลักฐานประกอบ เช่น รูปถ่าย, การวัดช่องว่าง, และข้อสังเกตต่างๆ

  • รายงานต้องมี วันที่ตรวจสอบ, ลายเซ็นของผู้ตรวจ และจัดเก็บไว้อย่างปลอดภัย
  • ต้องสามารถเข้าถึงรายงานได้ง่ายในกรณีที่ต้อง ตรวจสอบความสอดคล้องตามกฎระเบียบ หรือ สืบสวนเหตุการณ์เพลิงไหม้

4. ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องอย่างรวดเร็ว (Implement Corrective Actions Promptly)

เมื่อพบปัญหา ควรดำเนินการแก้ไข ทันที โดยให้ความสำคัญกับ ประเด็นความปลอดภัยร้ายแรง เช่น:

  • อุปกรณ์ปิดประตูที่ชำรุด
  • ซีลกันควันที่หายไปหรือเสียหาย

การซ่อมแซมต้องดำเนินการโดยผู้มีความเชี่ยวชาญ และใช้วัสดุที่ผ่านการรับรองเท่านั้น ควร ติดตามความคืบหน้า ของการดำเนินการแก้ไขผ่านระบบดิจิทัล เพื่อรักษาความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

5. ติดตามผลและตรวจสอบซ้ำ (Follow Up and Monitor Performance)

  • กำหนด การตรวจสอบซ้ำ เพื่อยืนยันว่าการแก้ไขดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์
  • ตรวจสอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง บ่อยกว่าปกติ
  • ใช้ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อช่วยจัดการรอบการตรวจสอบ
  • ดำเนินการ ตรวจสอบเป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่ายังคงสอดคล้องกับมาตรฐาน และรักษาความสมบูรณ์ของระบบ

Fire Door Inspection Report

ทำไมรายงานการตรวจสอบประตูทนไฟจึงสำคัญ

    รายงานนี้เป็นเอกสารทางการที่จัดทำขึ้น หลังจากตรวจสอบประตูทนไฟ เพื่อ:

  • แสดงสถานะความสอดคล้องกับข้อกำหนด
  • ระบุข้อบกพร่องและแนวทางการแก้ไข
  • ยืนยันว่าอุปกรณ์สามารถทำงานได้ตามหน้าที่หากเกิดไฟไหม้

    เหตุผลที่รายงานนี้จำเป็น:

  • เป็นหลักฐานที่รับรองว่าได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัย
  • ช่วยสร้าง ประวัติการตรวจสอบที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
  • ระบุข้อบกพร่อง พร้อมคำอธิบายอย่างชัดเจน
  • ให้ข้อมูลเพื่อวางแผนบำรุงรักษาและจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไข
  • สนับสนุนการตรวจสอบจากหน่วยงาน และใช้ในการประเมินความเสี่ยงจากไฟ
  • ให้ การคุ้มครองทางกฎหมาย โดยแสดงให้เห็นว่าผู้ดูแลปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบ
  • ใช้เป็นหลักฐานในการเคลมประกันภัย
  • เพิ่มความโปร่งใสภายในองค์กรเกี่ยวกับความปลอดภัยจากไฟ
  • ระบุว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบ, ตรวจเมื่อไร และผลเป็นอย่างไร
  • ช่วยวัดระดับการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในหลายๆ สถานที่

1. ระบุหัวข้อ, วันที่ และข้อมูลผู้ตรวจสอบ

     เริ่มต้นด้วยหัวข้อที่ชัดเจน เช่น “รายงานการตรวจสอบประตูทนไฟ – อาคาร A”
อย่าลืมระบุวันที่, สถานที่, และชื่อผู้ตรวจสอบรวมถึงคุณวุฒิ/ใบรับรองของเขา

2. กำหนดขอบเขต, วัตถุประสงค์ และวิธีการตรวจสอบ

  • ขอบเขต: ระบุพื้นที่หรืออาคารที่เข้ารับการตรวจ
  • วัตถุประสงค์: ตรวจสอบความสอดคล้อง, ระบุความเสี่ยง, และแนะนำการแก้ไข
  • วิธีการ: อธิบายวิธีที่ใช้ในการตรวจสอบ เช่น ตรวจสอบด้วยสายตา, ใช้เครื่องมือวัดช่องว่าง ฯลฯ
  • หมายเหตุข้อจำกัด เช่น ห้องที่เข้าไม่ได้ หรืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถทดสอบได้

3. แสดงรายการประตูที่ตรวจสอบทั้งหมด

    ระบุหมายเลขประตู, ตำแหน่ง, ระดับการทนไฟ (เช่น FD60), และสภาพทั่วไป
ควรจัดทำเป็นตารางเพื่อให้อ่านง่ายและอ้างอิงสะดวก

4. บันทึกข้อสังเกตโดยละเอียด

  • รายงานข้อบกพร่องอย่างชัดเจน เช่น “ซีลกันควันขาด” แทน “ประตูเสีย”
  • ระบุว่าชิ้นส่วนไหนเสียหรือไม่ทำงาน
  • แนบภาพถ่ายที่มีคำอธิบายประกอบ หากเป็นไปได้

5. เน้นปัญหาที่มีความเสี่ยงสูง (Critical Safety Issues)

    สร้างหัวข้อย่อยแยกไว้ต่างหาก เพื่อระบุปัญหาร้ายแรง เช่น

  • ระบบปิดประตูอัตโนมัติไม่ทำงาน
  • ช่องว่างรอบประตูเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด
    ช่วยให้ผู้รับผิดชอบสามารถจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขได้ง่ายขึ้น

6. แนะนำแนวทางการแก้ไขและการปรับปรุง

  • เสนอแนวทางการซ่อมหรือเปลี่ยนอย่างเฉพาะเจาะจง
  • ระบุไทม์ไลน์ที่แนะนำ และลำดับความสำคัญตามระดับความเสี่ยง
  • ต้องเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัย

7. สรุปภาพรวมของการตรวจสอบ

  • จำนวนประตูที่ตรวจ
  • จำนวนที่ผ่านและไม่ผ่าน
  • อัตราความสอดคล้อง (% compliance rate)
    ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว

8. แนบเอกสารประกอบ

  • เช็กลิสต์ที่ใช้
  • แผนผังอาคาร
  • มาตรฐานอ้างอิง
  • ภาพถ่าย
    จัดเรียงให้สามารถอ้างอิงกับเนื้อหาในรายงานหลักได้ง่าย

9. แจกจ่ายรายงานให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

  • ผู้จัดการสถานที่
  • เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย
  • ที่ปรึกษาด้านอัคคีภัย
  • ทีมซ่อมบำรุง
    การแบ่งปันอย่างรวดเร็วจะช่วยให้ดำเนินการแก้ไขได้ทันเวลา และรักษาการปฏิบัติตามกฎหมาย

บันทึกข้อมูลการตรวจสอบทั้งหมดได้จากมือถือ พร้อมภาพถ่าย, หมายเหตุ และเวลา

  • สร้างรายงานการตรวจสอบโดยอัตโนมัติ และส่งออกให้กับทีมงานผ่านอีเมล
  • ตั้งเวิร์กโฟลว์และรอบการตรวจสอบ เพื่อความสม่ำเสมอและปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างต่อเนื่อง

รายการตรวจสอบประตูทนไฟ 13 ข้อ ตามมาตรฐาน NFPA 80

   (13-Point NFPA 80 Fire Door Inspection Checklist)

ธุรกิจในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของ NFPA (National Fire Protection Association) จะต้องมีรายการตรวจสอบตาม 13 ข้อนี้ในแบบฟอร์มการประเมินประตูทนไฟ เพื่อให้แน่ใจว่าประตูทนไฟทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้

1. ป้ายกำกับต้องมองเห็นได้ชัดเจนและอ่านได้ง่าย

ทุกบานประตูและวงกบต้องมี ป้ายรับรองหรือป้ายการตรวจสอบ ที่ชัดเจน ระบุว่าได้ผ่านการทดสอบและรับรองตาม NFPA 80

2. ไม่มีรูหรือความเสียหายที่ประตูหรือวงกบ

แม้เพียงรูเล็ก ๆ หรือรอยแตกก็อาจลดความสามารถในการทนไฟของประตูได้ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีความเสียหายใด ๆ

3. กระจกและอุปกรณ์ติดกระจกต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์และติดตั้งแน่นหนา

หากมีการติดกระจกในประตูทนไฟ จะต้องใช้กระจกชนิดทนไฟ พร้อมชุดติดตั้ง (glass kits/beads) ที่แน่นหนา และปราศจากรอยร้าวหรือความเสียหาย

4. ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของประตูต้องยึดแน่นและติดตั้งได้ระดับ

ทั้งบานประตู วงกบ บานพับ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และธรณีประตูที่ไม่ติดไฟ (non-combustible threshold) ต้องติดตั้งอย่างมั่นคง เป็นระนาบเดียวกัน และไม่มีความเสียหาย

5. ไม่มีชิ้นส่วนที่หายไปหรือเสียหาย

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีบานพับ มือจับ ซีล หรืออุปกรณ์ใด ๆ ที่หายไปหรือชำรุด

6. ช่องว่างระหว่างบานประตูและวงกบต้องถูกต้องตามมาตรฐาน

ตาม NFPA 80:

  • ช่องว่างสูงสุดระหว่างขอบประตูกับวงกบ:
    • เหล็ก: ไม่เกิน 1/8 นิ้ว (ประมาณ 3.18 มม.)
    • ไม้: ไม่เกิน 1/8 ถึง 3/16 นิ้ว (ประมาณ 3.18 – 4.76 มม.)
      หากช่องว่างเกินกว่านี้ จะเสี่ยงต่อการให้ควันหรือเปลวไฟเล็ดลอดได้

7. ระบบปิดประตูอัตโนมัติต้องทำงานได้อย่างถูกต้อง

เมื่อเปิดบานประตูทิ้งไว้ แล้วปล่อย ประตูจะต้อง ปิดเองจนสุดบานโดยไม่ต้องช่วย เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไฟและควัน

8. ถ้ามีการติดตั้ง Coordinator – ต้องทำงานได้อย่างเหมาะสม

หากเป็นประตูคู่ที่ติดตัวประสาน (Coordinator) ใบประตูที่ไม่ใช้งาน (inactive leaf) ต้องปิดก่อนใบที่ใช้งาน (active leaf) เสมอ เพื่อให้กลอนทำงานถูกต้อง

9. กลอนต้องล็อกสนิทเมื่อประตูปิด (Compliant Latch Throw)

กลอนจะต้องเลื่อนเข้าไปในช่องล็อก (strike plate) อย่างเต็มที่เมื่อประตูปิด เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในตำแหน่งที่สามารถต้านทานแรงจากไฟหรือแรงดันได้

10. ไม่มีอุปกรณ์เสริมใด ๆ ที่รบกวนการทำงานของประตู

    เช่น ตะขอแขวนประตู, ที่หนีบ หรือ Stopper ไม่ควรรบกวนการปิดหรือการทำงานของประตู และต้องเป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยจากไฟ

11. ไม่มีการดัดแปลงหน้างานที่ทำให้ป้ายรับรองเป็นโมฆะ

ห้ามดัดแปลงโครงสร้างประตู เช่น การเจาะ, ตัด, หรือติดอุปกรณ์เพิ่มเติม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ผลิต เพราะจะทำให้ประตูหมดสภาพการรับรอง

12. ซีลกันควันและซีลกันไฟต้องอยู่ครบและติดตั้งถูกต้อง

ต้องตรวจสอบว่า ซีลทั้งหมดอยู่ในสภาพสมบูรณ์, ติดตั้งต่อเนื่องตลอดแนว และเหมาะสมกับระดับการทนไฟของประตูนั้น ๆ

13. ป้ายหรือสัญลักษณ์ที่ติดกับประตูต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน

  • ขนาดไม่เกิน 5% ของพื้นที่ผิวประตู
  • ห้ามขวางกลไกการทำงานของประตู
  • ต้องติดด้วยกาวเท่านั้น ห้ามใช้สกรูหรือตัวยึด
  • ห้ามปิดทับกระจกหรือช่องมองของประตู

การบำรุงรักษา

  • การบำรุงรักษาเป็นประจำ เช่น การหยอดน้ำมัน ตรวจสอบแนวปิดให้ตรง ทำความสะอาดกระจกทนไฟ และพื้นผิวเคลือบพิเศษ
  • ห้ามใช้สารเคมีที่อาจทำลายวัสดุเหล่านี้
  • ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าทางเดินประตูไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดเวลา